The Windmills of Your Mind
The Windmills of Your Mind (ความคิดที่วกวนของคุณ) = โรงสีลมของความคิดคุณDusty Springfieldแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Round like a circle in a spiral, like a wheel within a wheel Never ending or beginning on an ever spinning reel Like a snowball down a mountain, or a carnival balloon Like a carousel that's turning running rings around the moon Like a clock whose hands are sweeping past the minutes of its face And the world is like an apple whirling silently in space Like the circles that you find in the windmills of your mind!กลมเหมือนดั่งวงกลมของขดลวด เหมือนดั่งวงล้อที่อยู่ภายในวงล้อไม่มีที่สิ้นสุด หรือมีจุดเริ่มต้นของหลอดด้ายที่หมุนอยู่ตลอดเวลาเหมือนดั่งก้อนหิมะที่กลิ่งลงมาจากภูเขา หรือลูกโป่งในงานเฉลิมฉลองเหมือนดั่งม้าหมุนที่หมุนวงแหวนวิ่งไปรอบๆดวงจันทร์เหมือนดั่งนาฬิกาซึ่งเข็มของมันหมุนผ่านเวลานาทีที่หน้าปัดของมันและโลกก็เหมือนดั่งผลแอปเปิ้ลที่หมุนเหวี่ยงไปอย่างเงียบๆในอวกาศเหมือนดั่งวงกลมที่คุณจะพบได้ในความคิดที่วกวนของคุณLike a tunnel that you follow to a tunnel of its own Down a hollow to a cavern where the sun has never shone Like a door that keeps revolving in a half forgotten dream Or the ripples from a pebble someone tosses in a stream Like a clock whose hands are sweeping past the minutes of its face And the world is like an apple whirling silently in space Like the circles that you find in the windmills of your mind!เหมือนดั่งอุโมงค์ที่คุณเดินตามไปยังอุโมงค์อีกแห่งหนึ่งที่เหมือนกันลึกลงไปในหลุมโพลงไปสู่ถ้ำซึ่งแสงอาทิตย์ไม่เคยส่องลงไปถึงเหมือนดั่งประตูที่หมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลาในความฝันที่เกือบจะลืมหรือเหมือนดั่งระลอกคลื่นเล็กๆที่เกิดจากก้อนหินที่คนบางคนขว้างลงไปในลำธารเหมือนดั่งนาฬิกาซึ่งเข็มของมันหมุนผ่านเวลานาทีที่หน้าปัดของมันและโลกก็เหมือนดั่งผลแอปเปิ้ลที่หมุนเหวี่ยงไปอย่างเงียบๆในอวกาศเหมือนดั่งวงกลมที่คุณจะพบได้ในความคิดที่วกวนของคุณ[1] Keys that jingle in your pocket, words that jangle in your head Why did summer go so quickly? Was it something that you said? Lovers walking along a shore and leave their footprints in the sand Is the sound of distant drumming just the fingers of your hand? Pictures hanging in a hallway and the fragment of a song Half remembered names and faces, but to whom do they belong? When you knew that it was over you were suddenly aware That the autumn leaves were turning to the color of her hair! Like a circle in a spiral, like a wheel within a wheel Never ending or beginning on an ever spinning reel As the images unwind, like the circles that you find in  The windmills of your mind!ลูกกุญแจซึ่งมีเสียงดังกรุ้งกริ่งในกระเป๋าของคุณ ถ้อยคำที่โต้แย้งกันในหัวของคุณว่าทำไมช่วงฤดูร้อนจึงผ่านพ้นไปรวดเร็วอย่างนี้? นี่คือบางอย่างที่คุณพูดหรือเปล่าล่ะ?คู่รักที่เดินไปด้วยกันที่ชายฝั่งและทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นทรายเสียงของกลองที่ได้ยินมาจากที่ห่างไกลเป็นเพียงเสียงนิ้วมือของแขนคุณใช่ไหม?รูปภาพที่แขวนอยู่ในห้องโถงและบางส่วนของบทเพลงที่คุณพอจะจำชื่อและใบหน้าได้บางส่วน แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของใครล่ะ?เมื่อคุณรู้ว่ามันสิ้นสุดแล้ว คุณก็จะตระหนักรู้ขึ้นมาได้ทันทีว่าใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนเป็นสีของผมของเธอเหมือนดั่งวงกลมของขดลวด เหมือนดั่งวงล้อที่อยู่ภายในวงล้อไม่มีที่สิ้นสุด หรือมีจุดเริ่มต้นของหลอดด้ายที่หมุนอยู่ตลอดเวลาขณะที่มโนภาพคลี่คลายออก เหมือนดั่งเช่นวงกลมที่คุณพบในความคิดที่วกวนของคุณ[1]Vocabulary Itemsautumn (n) = ฤดูใบไม้ร่วงaware (v) = ตระหนักรู้balloon (n) = ลูกโป่งbelong (v) = เป็นสมบัติ เป็นส่วนหนึ่งcarnival (n) = งานเฉลิมฉลองcarousel (n) = ม้าหมุนcavern (n) = ถ้ำcircle (n) = วงกลมclock (n) = นาฬิกาdistant (adj) = ระยะไกลdream (n) = ความฝันdrum (v, n) = เสียงตีกลอง กลองface (n) = หน้าปัดนาฬิกาfinger (n) = นิ้วมือfollow (v) = ติดตาม เดินตามfootprint (n) = รอยเท้าfragment (n) = ชิ้นส่วน บางส่วน half-forgotten (adj) = เกือบจะลืมhalf-remembered (adj) = จดจำได้บางส่วนhallway (n) = ห้องโถงhand (n) = เข็มนาฬิกาhang (v) = แขวนhollow (n) = หลุมโพลง โพลงjangle (v) = โต้แย้ง โต้เถียงกันjingle (v) = เสียงดังกรุ้งกริ่งkeep revolving (v) = หมุนไปตลอดเวลาkey (n) = ลูกกุญแจleaf, leaves (n) = ใบไม้leave (v) = ละทิ้ง ปล่อยทิ้งlover (n) = คู่รักmind (n) = จิตใจminute (n) = นาทีmoon (n) = ดวงจันทร์mountain (n) = ภูเขาpebble (n) = ก้อนหิน ก้อนกวดpicture (n) = รูปภาพpocket (n) = กระเป๋าquickly (adv) = อย่างรวดเร็วripple (n) = ระลอกคลื่นเล็กๆround (adj) = กลมrunning ring (n) = วงแหวนsand (n) = ทรายshine, shone, shone or shined (v) = ส่องแสง เปล่งแสงshore (n) = ชายฝั่งsilently (adv) = อย่างเงียบๆsnowball (n) = ก้อนหิมะsound (n) = เสียงspace (n) = อวกาศspinning reel (n) = หลอดด้ายspiral (n) = ขดลวดstream (n) = ลำธารsuddenly (adv) = ทันทีทันใดนั้นsummer (n) = ฤดูร้อนsun (n) = ดวงอาทิตย์ แสงแดดsweep (v) = หมุน กวาดtoss (v) = ขว้าง เหวี่ยงtunnel (n) = อุโมงค์turn (v) = หมุนwalk along (v) = เดินไปตามwheel (n) = วงล้อ พวงมาลัยwhirl (v) = หมุนเหวียงwindmill (n) = โรงสีข้าวแรงลม
18 พฤษภาคม 2563     |      852
The Way We Were
The Way We Wereสิ่งต่างๆที่เราเคยเป็นอยู่Barbra Streisandแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Memories Light the corners of my mind Misty watercolor memories Of the way we were            ความทรงจำ            จุดประกายให้จิตใจฉันคิดถึง            ความทรงจำที่ชัดเจนแต่ลึกลับ            ถึงสิ่งต่างๆที่เราเคยเป็นอยู่Scattered pictures Of the smiles we left behind Smiles we gave to one another For the way we wereภาพต่างๆที่กระจัดกระจาย            ถึงรอยยิ้มที่เราทิ้งไว้เบื้องหลัง            รอยยิ้มที่เรามีให้กันและกัน            สำหรับสิ่งต่างๆที่เราเคยเป็นอยู่Can it be that it was all so simple then Or has time rewritten every line If we had the chance to do it all again Tell me, would we? Could we?            มันเป็นไปได้ไหมว่าตอนนั้นทุกอย่างมันดูเรียบง่าย            หรือว่าเวลาทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไป            ถ้าหากว่าเรามีโอกาสกระทำมันใหม่อีกครั้งหนึ่ง            บอกฉันซิว่า เราจะทำได้ไหม?            เราสามารถทำได้ไหม?Memories May be beautiful and yet What's too painful to remember We simply choose to forget            ความทรงจำ            อาจจะสวยโสภา แต่ว่า            มันช่างแสนทรมานเหลือเกินที่ยังจดจำ            เราเพียงแต่เลือกที่จะลืมSo it's the laughter We will remember Whenever we remember The way we were The way we wereดังนั้น มันน่าหัวเราะที่เราจะจดจำเมื่อไหร่ก็ตามที่เราจดจำสิ่งที่ต่างๆเราเคยเป็นอยู่สิ่งที่ต่างๆเราเคยเป็นอยู่Vocabulary Itemschance (n) = โอกาสforget (v) = ลืมlaughter (n) = การหัวเราะleft behind (v) = ละทิ้งไว้เบื้องหลังlight (v) = จุดประกายmemory (n) = ความทรงจำmisty (adj) = ลึกลับ ซ้อนเร้นpainful (adj) = เต็มไปด้วยความเจ็บปวดremember (v) = จดจำscattered (adj) = กระจัดกกระจายsmile (n) = รอยยิ้มso simple (adj) = ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนthe corners of my mind = มุมหนึ่งของจิตใจ ส่วนหนึ่งของจิตใจthe way we were = สิ่งต่างๆที่เคยเป็นอยู่ในอดีตwatercolor (n) = สีน้ำ สดใสเป็นธรรมชาติwhenever (adv) = เมื่อใดก็ตาม
18 พฤษภาคม 2563     |      1063
The Twelve Days of Christmas
The Twelve Days of Christmas (สิบสองวันของคริสต์มาสFrank Sinatra[Traditional version] On the (first) day of Christmas my true love sent to me Twelve lords leaping, Eleven ladies dancing, Ten pipers piping Nine drummers drumming, Eight maids milking, Seven swans swimming Six geese laying, Five gold rings Four calling birds, Three French hens, Two turtle doves, And a partridge in a pear treeในวันแรกของเทศกาลคริสต์มาส คนรักของผมส่งมาให้ผม…นกไก่ฟ้าในต้นแพร์ 1 ตัวนกกางเขน 2 ตัวแม่ไก่ฝรั่งเศส 3 ตัวนกเดินดงสีเทาดำ 4 ตัวแหวนทอง 5 วงห่านกำลังออกไข่ 6 ตัวหงษ์กำลังว่ายน้ำ 7 ตัวหญิงสาวสำหรับรีดนมวัว 8 คนคนชอบตีกลอง 9 คนคนชอบเป่าปี่สก็อต 10 คนผู้หญิงชอบเต้นรำ 11 คนเจ้านายชั้นสูงชอบกระโดด 12 คน [Frank Sinatra's version] On the (first) day of Christmas, we gave our loving dad (my children gave to me) Twelve dozen kisses, Eleven jars of jelly, Ten silken hankies, Nine games of scrabble, Eight pairs of cufflinks, Seven books of fiction, Six golden lighters, Five ivory combs, Four mission lights, Three golf clubs, Two silken scarves, And a most lovely lavender tie.ในวันแรกของเทศกาลคริสต์มาสลูกๆให้ผม…การจูบ 12 ครั้งวุ้น 11 ถ้วยผ้าเช็ดหน้าไหม 10 ผืนเกมส์ตัวต่อคำศัพท์ 9 ชุดกระดุมติดแขนเสื้อ 8 คู่หนังสือนวนิยาย 7 เล่มไฟแช็คสีทอง 6 อันหวีทำด้วยงา 5 อันโคมไฟ 4 โคมไม้ตีกอล์ฟ 3 อันผ้าพันคอไหม 2 ผืนและเน็คไทสีม่วงแดงที่น่ารักมาก 1 เส้น********************************December 6, 2015********************************ความหมายของของขวัญแต่ละอย่างเชื่อกันว่าสาเหตุที่ต้องร้องเพลงเป็นสัญญาลักษณ์เพราะในอังกฤษในยุคหนึ่ง คือตั้งแต่ปี 1558 จนกระทั่งถึงปีl 1829 ห้ามคนนับถือนิกาย Roman Catholic กระทำพิธีกรรมทางศาสนาเพราะทางราชการประกาศให้คนหันมานับถือนิกาย Protestant จึงทำให้ผู้ที่นับถือนิกาย Catholic ต้องหลีกเลี่ยงใช้เพลงแทนสัญลักษณ์ทางศาสนา คือวันที่ 1 ได้นกกระทา (Partridge) ในต้นแพร์ หรือต้นท้อจำนวน 1 ตัว ซึ่งหมายถึงพระเยซู (Jesus Christ) ซึ่ง เป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้าในการปกปักรักษาเหล่าผู้ยากไร้ทั่วโลก และยังหมายถึงความสามารถของคนในการเพิ่มจำนวนประชากรโลก เพราะว่านกกระทาเป็นสัตว์ที่สืบพันธุ์ได้รวดเร็ว และต้นแพร์เป็นสัญญาลักษณ์ของเพศชาย ในขณะที่แอบเปิ้ลเป็นสัญญาลักษณ์ของเพศหญิงวันที่ 2 ได้นกเขาขนาดเล็ก (turtledoves) 2 ตัว ซึ่งหมายถึง Old Testament (ภาคพันธสัญญาเดิม คัมภีร์คำสอนของศาสนาคริสต์) New Testament (ภาคพันธสัญญาใหม่ คัมภีร์เกี่ยวกับชีวิตและการเทศนาของพระเยซูวันที่ 3 ได้ไก่พันธ์ฝรั่งเศส (French hens) ที่เนื้อมีรสชาดอร่อยมาก เดิมเลี้ยงกันที่ฝรั่งเศสสำหรับเป็นอาหารของกษัตริย์จำนวน 3 ตัว ซึ่งหมายถึง 1. ความศรัทธา (Faith) 2. ความหวัง (Hope) และ 3. ความรัก (Love)วันที่ 4 ได้นกเดินดงสีเทาดำ (black bird หรือ colly bird)จำนวน 4 ตัว ซึ่งหมายถึงหลักคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าใน New Testament ที่เขียนโดยนักบุญ 4 คน ได้แก่ Matthew, Mark, Luke และ John บางversion ใช้คำว่า "calling birds, canary birds", "colour'd birds", "curley birds", and "corley birds"วันที่ 5 ได้แหวนทอง 5 วง ซึ่งหมายถึงหลักทางศาสนาใน 5 บทแรกของ Old Testament (คัมภีร์คำสอนของศาสนาคริสต์วันที่ 6 ได้ห่านกำลังออกไข่ 6 ตัว ซึ่งหมายถึงวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ที่เป็นเวลา 6 วันที่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาวันที่ 7 ได้หงส์กำลังว่ายน้ำ 7 ตัว ซึ่งหมายถึงของขวัญที่ได้รับจากพระเจ้า 7 อย่าง คือ ปัญญา (wisdomความเข้าใจ understandingการปรึกษาหารือ counselความรู้knowledgeความอดทน fortitudeความศรัทธา pietyและความเกรงกลัวต่อพระผู้เป็นเจ้า fear of the Lordwonderวันที่ 8 ได้หญิงสาวกำลังรีดนมวัว 8 คน ซึ่งหมายถึงความสุขสูงสุด(beatitude) ของคน 8 จำพวกจากคำสอนของพระเจ้า ซึ่งถือกันว่าเป็นแก่นคำสอนของศาสนาคริสต์ วันที่ 9 ได้สภาพสตรีที่กำลังเต้นรำจำนวน 9 คน ซึ่งหมายถึงพรจากพระเจ้า 9 ประการ คือ ความรัก (Love), ความหรรษา (Joy), สันติภาพ (Peace), ความใจเย็น (Patience), ความเมตตา (Kindness), ความดี (Goodness), ความซื่อสัตย์ (Faithfulness), ความสุภาพ (Gentleness), และความมีสติควบคุมตนเองได้ (Self-Control). วันที่ 10 ได้ขุนนางที่กำลังกระโดดจำนวน 10 คน ซึ่งหมายถึงบัญญัติ (Commandments) 10 ประการ คือ ห้ามฆ่า ห้ามพูดเท็จ ห้ามเป็นชู้ ห้ามลักขโมย ห้ามอยากได้ของคนอื่น ห้ามบูชารูปเหมือน ห้ามศรัทธาพระเจ้าองค์อื่น ห้ามเอ่ยนามพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่จำเป็น (in vain) ห้ามทำงานวันอาทิตย์ และจงเคารพนับถือพ่อและแม่วันที่ 11 ได้นักดนตรีที่กำลังเป่าปี่จำนวน 11 คน ซึ่งหมายถึงอัครสาวกผู้ซื่อสัตย์ (Faithful Apostles) ของพระเยซูทั้ง 11 คน ได้แก่ Peter, Andrew, James the Greater, James the Lesser, John, Simon, Thomas, Matthew, Philip, Jude haddeus and Bartholomewวันที่ 12 ได้นักตีกลองที่กำลังตีกลองจำนวน 12 คน ซึ่งหมายถึงความเชื่อทางศาสนา (creeds) คริสต์ 12 อย่าง เช่น เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซู และเชื่อว่าพระเจ้าจะกลับมาอีก เป็นต้นความเห็นๆเกี่ยวกับของขวัญในงานคริสต์มาส            คนจำนวนมากเชื่อว่าของขวัญทั้ง 12 อย่างเป็นสัตว์จำพวกนกทั้งหมด คือนกกระทา (Partridge) ในฤดูหนาวจะแยกจากฝูงไปหาคู่แล้วจะเป็นสัตว์ที่มีคู่แล้วอยู่ด้วยกันตลอดไป monogamous pairs เพื่อผสมพันธุ์และแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วนกเขาขนาดเล็ก (Turtle Dove) ใช้เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่เสียสละและการสูญเสียบ่งบอกลักษณะความเป็นคู่กัน Dualities เช่น: male and female, day and night, summer and winter, life and death.ไก่ฝรั่งเศส (French Hen) คือเทพีของคนคนหนึ่งที่มี 3 ลักษณะ คือ พระแม่มารีผู้บริสุทธิ์ (Vergin) แม่ และหญิงที่ฉลาดนกเดินดงสีเทาดำ (Colly Bird ไม่ใช่ Calling bird เป็นนกในตระกูลอีกา เช่น crows, jackdaws, rooks, or ravens ซึ่งล้วนมีสีดำ การเรียกชื่อนกชนิดนี้น่าจะเป็นการออกเสียงเพียนมาจาก coal+ieเพราะนกจำพวกนี้มีสีดำเหมือนถ่าน และเลข 4 ทางโหราศาสตร์หมายถึงโลกที่เป็นสีดำ และเป็นแหล่งของอำนาจที่มีตลอดกาลบาง versions ใช้คำว่า "canary birds", "colour'd birds", "curley birds", collie birds”, "corley birds" และ “mockingbirds”นกไก่ฟ้าคอแหวน (Ring-necked pheasants ไม่ใช่ Golden Rings) นกชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของไฟและความรู้สึกทางเพศ และทางโหราศาสตร์เลข 5 หมายถึงไฟราคะห่านกำลังออกไข่ (Geese A-Laying) หมายถึงวัฏจัตรของชีวิต คือ การเกิด ตาย และเกิดใหม่ และเลข 6 รูปร่างเหมือนไข่ใช้แทนวัฎจักรของชีวิต และทางโหรราศาสตร์เลข 6 หมายถึงน้ำหงส์กำลังว่ายน้ำ (Swans A-Swimming) หมายถึงดาวเคราะห์ ซึ่งในอดีตจนถึงปี 1846 พบว่ามีอยู่ 7 ดวง และทางโหรราศาสตร์เลข 7 หมายถึงอากาศ ท้องฟ้า และสวรรค์นกกางเขน (magpie ไม่ใช่ Maids A-Milking) ซึ่งมีอกขาว และปลายปีกขาว ส่วนคอ ปีก และหางดำ เลข 8 หมายถึงการเริ่มต้นใหม่นกปากซ่อม (snipe ไม่ใช่ Drummers Drumming สมัยเก่าเป็น ladies dancing) ซึ่งส่งเสียงร้องเหมือนเสียงตีกลองในฤดูใบไม่ผลิ เลข 9 หมายถึงความเป็นสามัคคีและความเป็นนิรันดร์ไก่กำลังขัน (Cocks A-Crowing ต่อมาเปลี่ยนเป็น Pipers Piping เพราะว่า cock เมื่อเป็นแสลงหมายถึงอวัยวะเพศชาย ทั้งไก่ และคนเป่าปีมีความหมายว่าเจิดจรัสและมีแรงขับทางเพศสูงนกกระต้อยตีวิด (Lapwing ไม่ใช่ Ladies Dancing) นกชนิดนี้มีความหมายว่าความสุขหรรษา แรงเสน่หา (passion) และการเกี้ยวพาราศี (courtship) และเลข 11 หมายถึงความโชคดีนกกาเหว่า (cuckoo ไม่ใช่ Lords A-Leaping) นกชนิดนี้มีความหมายว่า ไม่มีศีลธรรม (immorality) และ ไม่มีระเบียบ (disorder) เพราะเป็นช่วงเทศกาลที่คนจำนวนมากมักทำผิดศีลธรรมข้อที่คนมักสงสัยเกี่ยวกับของขวัญทั้ง 12 อย่าง เดิมเป็นเพลงของพวกต่อต้านผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Protestant แห่งอังกฤษจริงหรือความเชื่อนี้ไม่น่าจะเป็นจริงเพราะว่าเนื้อเพลงที่เชื่อว่ามีความหมายโดยนัยทุกอย่างนั้นผู้ที่นับถือนิกาย Protestant ก็มีความเชื่อเช่นเดียวกับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Catholic จึงไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมจากพวกนิกาย Protestantใครคือผู้แต่งเพลงนี้เพลงนี้ไม่สามารถสืบรู้ได้ว่าใครเป็นคนแต่ง และแต่งขึ้นเพราะเหตุใด แต่ผู้ที่รวบรวมจัดพิมพ์เพลงนี้เป็นครั้งแรกในปี 1780 ในประเทศอังกฤษ และ หลังจากนั้นก็มีผู้อื่นจัดพิมพ์อีกหลายครั้งและมีเนื้อแตกต่างกันบ้างในบางแห่งแหวนทอง (Golden Rings) คืออะไรแน่คำนี้ไม่น่าจะหมายถึงแหวนทอง แต่น่าจะหมายถึงรูปวงแหวนสีเหลืองๆที่อยู่รอบนกไก่ฟ้า (pheasant) หรือไม่ก็หมายถึงนกกระจาบสีเหลือง (goldspinks) ซึ่งเป็นนกขนาดเล็กที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Goldfinch หรือ Yellow hammer และเป็นที่สังเกตว่าของขวัญของวันอื่นๆต่างก็เป็นนก หรือสัตว์จำพวกนก ดังนั้นของขวัญนี้ก็น่าจะเป็นนกด้วยทำไมนกกระทาจึงอยู่ในต้นแพร์ (partridge in a pear tree) วลีนี้น่าจะมาจากภาษาฝรั่งเศสว่า “a partridge, une perdrix,” (นกกระทาเพราะว่าในยุคต้นๆเพลงนี้มีเนื้อร้องเป็นภาษาฝรั่งเศส และอังกฤษแต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเนื้อร้องใดเก่ากว่ากัน แต่มีเนื้อเพลงบางส่วน เช่น คำว่าpartridge (นกกระทาเป็นนกที่มีอยู่ในฝรั่งเศสมาก่อน จนถึงในราวปี 1770 จึงปรากฏมีในอังกฤษ ดังนั้น เนื้อร้องของฝรั่งเศสน่าจะเก่ากว่าของอังกฤษ ถ้าเนื้อร้องของฝรั่งเศสเก่ากว่าก็เป็นไปได้ว่าเมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วจะต้องมีการดัดแปลงเนื้อให้เข้ากับทำนองเพลงเพลงอาจเป็นเพียงการละเล่นของเด็กในวันคริสต์มาสเท่านั้นหลายคนเชื่อว่าเพลงนี้อาจเป็นเพียงการเล่นฝึกความจำและการนับเลขของเด็กๆในเทศกาลคริสต์มาส เพราะว่าเนื้อร้องวนซ้ำคำเดิมม และมีจำนวนตัวเลขด้วย วิธีแนอาจให้เด็กจะนั่งล้อมกันเป็นวงกลมม แล้วให้แต่ละคนร้องเพลงกันคนละท่อน (คนละวัน ถ้าเด็กคนไหนพูดไม่ถูก หรือออกเสียงไม่ถูกต้อง เช่น “seven swans a-swimming.”ก็ให้ออกจากวง จนเหลือคนสุดท้ายถือว่าเป็นผู้ชนะ และคนแพ้อาจถูกปรับให้โดนจูบโดยเพศตรงกันข้ามเหมือนกับเกมส์หมุนขวด (Spin the Bottle) โดยผู้เล่นจะใช้นิ้วหมุนขวดบนโต๊ะ ถ้าปลายขวดหยุดตรงกับใครที่เป็นเพศตรงข้ามกับคนหมุน คนหมุนมีสิทธิ์จูบคนนั้น ถ้าเป็นเพศเดียวกัน คนหมุนก็จะจูบเพศตรงข้ามที่อยู่ใกล้กับผู้หญิงหรือชายนั้น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเล่นหมุนโทรศัพท์มือถือ Spin the cell phoneทำไมเทศกาลคริสต์มาสจึงมี 12 วันเดิมพระเจ้า Justinian แห่งอังกฤษกำหนดให้เทศกาลคริสต์มาสเป็นวันหยุดเทศกาล 8 วัน ต่อมาในศตวรรษที่ 9 พระเจ้า Alfred แห่งอังกฤษกำหนดให้เทศกาลคริสต์มาสมี 12 วัน คือระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม ถึงวันที่ 6 มกราคม เพราะว่าวันที่ 6 มกราคมถือเป็นวันกำเนิดของ Jesus' soul ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญที่สุดของเทศกาลนี้ไก่ฝรั่งเศสสำคัญอย่างไรไก่ฝรั่งเศส (French hen) เป็นไก่พันธุ์ดี เนื้อรสชาติอร่อยมาก และมีชื่อเสียง มีลักษณะเหมือนไก่โรส (Rhode Island) คือมีขนาดใหญ่ ขนสีแดง เทา หรือขาว แต่ว่าขาเป็นสีน้ำเงินน นิยมเลี้ยงกันในฝรั่งเศสมาาตั้งแต่ปี 1591 ที่เมือง Bourg-en-Bresse เมื่อรถม้าของพระเจ้า Henry IV แห่งอังกฤษเสียที่เมืองนี้และพระองค์ได้รับประทานเนื้อไก่ชนิดนี้ก็ติดใจในรสชาด จึงสั่งให้เป็นอาหารประจำของพระองค์ ในฝรั่งเศสไก่ชนิดนี้ถือเป็นสินค้าควบคุมให้เลี้ยงได้เฉพาะที่เมืองนี้เท่านั้น เพื่อให้เนื้อไก่มีรสชาติดีเหมือนเดิม ปัจจุบันนี้ถือกันว่าเป็นเนื้อไก่ที่มีรสชาดดีที่สุดในโลก
18 พฤษภาคม 2563     |      2394
Seasons of Love
Seasons of Love (ฤดูแห่งรักRentแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Five hundred twenty-five thousand Six hundred minutes, Five hundred twenty-five thousand Moments so dear525,000600 นาที525,000เป็นระยะเวลาที่หายากมากFive hundred twenty-five thousand Six hundred minutes How do you measure, measure a year?525,000600 นาที (เวลา 525600 นาทีในหนึ่งปีที่มี 365 วันคุณวัดอย่างไร หรือว่าจะวัดเป็นปี?In daylights, in sunsets, in midnights In cups of coffee In inches, in miles, in laughter, in strifeวัดเป็นวัน วัดจากจำนวนครั้งที่ดวงอาทิตย์ตก วัดเป็นกลางคืนวัดเป็นจำนวนแก้วกาแฟวัดเป็นนิ้ว วัดเป็นไมล์ วัดจากจำนวนคนหัวเราะ วัดจากความขัดแย้งIn five hundred twenty-five thousand Six hundred minutes How do you measure a year in the life?ในเวลา 525,000600 นาทีคุณวัดจำนวนปีในชีวิตอย่างไร?How about love? How about love? How about love? Measure in loveแล้วความรักล่ะ? แล้วความรักล่ะ?แล้วความรักล่ะ? วัดความรักอย่างไรSeasons of love Seasons of loveฤดูแห่งรักฤดูแห่งรักFive hundred twenty-five thousand Six hundred minutes525,000600 นาทีFive hundred twenty-five thousand Journeys to plan525,000การเดินทางไปสู่แผนFive hundred twenty-five thousand Six hundred minutes How do you measure the life Of a woman or a man?525,000600 นาทีคุณจะวัดชีวิตของผู้หญิง หรือผู้ชายอย่างไร?In truths that she learned Or in times that he cried In bridges he burned (burn bridges = ทิ้งไพ่ตาย to make decisions that cannot be changed in the future การตัดสินใจแน่วแน่ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก Or the way that she diedวัดเป็นจำนวนสัจจะธรรมที่หล่อนได้เรียนรู้หรือวัดจากจำนวนครั้งที่เขาร้องไห้วัดจากการตัดสินใจแน่วแน่หรือวัดวิธีที่หล่อนตายIt's time now to sing out Tho' the story never ends Let's celebrate Remember a year in the life of friendsมันถึงเวลาแล้วที่จะร้องออกมาดังๆแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีวันจบสิ้นเรามาฉลองกันเถอะจงจดจำช่วงปีในชีวิตของเพื่อนRemember the love (Oh you got to, got to) Remember the love (Remember the love) Seasons of love (Measure, measure you life in love) Seasons of love Seasons of loveจงจดจำความรักโอ้ คุณจำเป็นต้อง คุณจำเป็นต้องจดจำจงจดจำความรักจงจดจำความรักฤดูแห่งความรักจงวัด จงวัดชีวิตของคุณเป็นความรักฤดูแห่งความรักฤดูแห่งความรักVocabulary Itemsburn bridge (v) = ทิ้งไพ่ตาย ตัดสินใจแน่วแน่ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกcelebrate (v) = ฉลอง เฉลิมฉลองdaylight (n) = กลางวันinch (n) = ความยาว 1 นิ้วlaughter (n) = การหัวเราะmeasure (v) = วัดขนาด วัดระยะเวลา วัดระยะทางmidnight (n) = เที่ยงคืนmile (n) = ระยะทาง 1 ไมล์minute (n) = นาที เวลา 525600 นาทีในหนึ่งปีที่มี 365 วันremember (v) = จดจำsing out (v) = ร้องออกมาดังๆstrife (n) = ความขัดแย้งsunset (n) = ดวงอาทิตย์ตก
18 พฤษภาคม 2563     |      206
The Seasons of Love
The Seasons of Love (ฤดูแห่งรัก Ed Amesแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์No matter what the season We two can be together I offer you a true love From now until foreverไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนเราทั้งสองสามารถจะอยู่ด้วยกันได้ผมให้ความรักที่จริงใจกับคุณตั้งแต่บัดนี้ จวบจนนิจนิรันดร์When the March winds blowing warm Cause the river to flow When the grass turns very green When birds return once more to sing When all the world is filled with Spring Then I will bring to you A true springtime loveเมื่อลมเดือนมีนาคมพัดนำความอบอุ่นมาทำให้แม่น้ำไหลเมื่อหญ้ากลายเป็นสีเขียวจริงๆเมื่อเหล่านกกลับมาส่งเสียงร้องอีกครั้งหนึ่งเมื่อโลกทั้งมวลเต็มไปด้วยความสดชื่นแล้วผมจะนำมาให้คุณความรักที่แท้จริงในฤดูใบไม้ผลิWhen the sun shines oh so hot That is scorches the land When you're burning with the heat The sand's on fire beneath your feet When you're a-thirst for kisses sweet Then I will bring to you A true summer loveเมื่อแสงแดด โอ้ ร้อนมากมันก็ทำให้แผ่นดินแห้งผากเมื่อความร้อนเผาผลาญคุณ เผาผลาญด้วยความร้อนทรายร้อนผ่าวอยู่ใต้ฝ่าเท้าคุณเมื่อคุณรู้สึกหิวกระหายที่อยากจะได้รสจูบที่หวานแล้วผมจะนำมาให้คุณความรักที่แท้จริงในฤดูร้อนWhen the tired leaves of brown Tumble down from the tree When a chill is in the air When shades of silver tint your hair Depend on me for I'll be there And I will bring to you A true autumn loveเมื่อใบไม้เป็นสีน้ำตาลที่อ่อนล้าปลิวหล่นลงมาจากต้นเมื่อความหนาวเย็นอยู่ในอากาศเมื่อผมของคุณมีสีขาวขึ้นอยู่กับผม เนื่องจากว่าผมยังจะอยู่ที่นั่นแล้วผมจะนำมาให้คุณความรักที่แท้จริงในฤดูใบไม้ร่วงWhen the snow falls  to the ground When the deep river freeze When our hands turn very cold When love once young grows very old Ther'll still be words of love untold And I will bring to you A true winter loveเมื่อหิมะตกลงมายังพื้นดินเมื่อแม่น้ำที่ลึกกลายเป็นน้ำแข็งเมื่อมือของเราหนาวเย็นมากเมื่อความรักที่ครั้งหนึ่งเป็นวัยรุ่นกลายเป็นแก่มากยังจะมีถ้อยคำเกี่ยวกับความรักที่ยังไม่ได้บอกกล่าวให้คนอื่นรู้แล้วผมจะนำมาให้คุณความรักที่แท้จริงในฤดูหนาวVocabulary Itemsbeneath (prep) = ภายใต้burn (v) = เผา ไหม้ เกรียมcause (v) = เป็นต้นเหตุchill (n) = ความเย็นforever (adv) = ตลอดไป ชั่วนิรันดร์freeze (v) = กลายเป็นน้ำแข็งheat (n) = ความร้อนscorch (v) = ไหม้บางส่วนSeason (n) = ฤดูshade (n) = เงาthirst (n) = ความกระหายuntold (adj) = ยังไม่ได้บอก ยังไม่ได้เปิดเผยwarm (adj) = อบอุ่นExpressionsNo matter what the season is.We two can be together.I offer you a true love.From now until forever.GrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลอย่างง่าย เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นI offer you a true love.The sand's on fire beneath your feet.    2. Simple Future Tenseอนาคตกาลอย่างง่าย เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นI will bring to you a true autumn love.I will bring to youa true springtime love.I will bring to you a true winter love
18 พฤษภาคม 2563     |      151
The River of No Return
The River of No Return (แม่น้ำที่ไม่ไหลกลับ)Marilyn Monroeแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์If you listen, you can hear it call, Wailaree! (Wailaree!)ถ้าคุณฟัง คุณสามารถได้ยินแม่น้ำส่งเสียงร้องว่า โอ้ย...เจ็บปวดโอ้ย...เจ็บปวดThere is a river called 'The River Of No Return' Sometimes it's peaceful and sometimes wild and free Love is a traveler on 'The River Of No Return' Swept on forever to be lost in the stormy sea (Wailaree!)มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อว่า แม่น้ำที่ไม่ไหลกลับ            บางทีมันก็เงียบสงบ และบางทีมันก็เชี่ยวกรากและไหลไปทั่วทุกทิศทาง            ความรักก็เหมือนผู้เดินทางตามสายน้ำที่ไม่ไหลกลับนี้            ความรักจะถูกพัดพาไปชั่วนิจนิรันดร์เพื่อให้หายไปกับทะเลที่บ้าคลั่ง(ที่เต็มไปด้วยพายุWail-a-ree I can hear the river call no return, no return Where the roarin' waters fall wail-a-ree I can hear my lover call “Come to me” (No return, no return) No return, no return. (Wailaree!)โอ้ย...เจ็บปวด ฉันได้ยินแม่น้ำส่งเสียงว่า ไม่กลับมา ไม่กลับมาแล้ว            ณ ตรงที่น้ำมันไหลตกส่งเสียงดังกึกก้องว่า โอ้ย...เจ็บปวด            ฉันสามารถได้ยินคนรักของฉันร้องเรียกฉันว่า ไม่กลับมา ไม่กลับมาแล้วI lost my love on the river and forever my heart will yearn (desire) Gone gone forever down 'The River Of No Return' Wail-a-ree, wail-a-re-e-ee, never return to me No return, no return, no returnฉันสูญเสียคนรักของฉันไปกับสายน้ำ และชั่วนิรันดร์หัวใจของฉันจะรักใคร่ปรารถนาเขาเขาสูญหาย สาบสูญชั่วนิรันดร์ไปกับแม่น้ำที่ไม่ไหลกลับนี้ โอ้ย...เจ็บปวด โอ้ย...เจ็บปวด (เขาไม่เคยกลับมาหาฉันเลยไม่กลับมา ไม่กลับมา ไม่กลับมาHe'll never return to me! (no return, no return, no return) Neverเขาจะไม่เคยกลับมาหาฉันเลย (ไม่กลับมา ไม่กลับมา ไม่กลับมาไม่เคยกลับมาเลยVocabulary ItemsWailaree! มาจากคำว่า Wail v = ร้องเสียงดัง ยาว ด้วยความเศร้า หรือเจ็บปวด โอ้ย....เจ็บปวด) to make a loud, long cry of sadness or pain Origin of WAILMiddle English weilen, waylen, perhaps modification (influenced by Middle English weilawei wellaway)First Known Use: 14th centuryroarin' waters fall = roaring waters fallwaterfall = น้ำตกwaters = waterspluralthe water in a particular lake, river, sea or oceanExpressionsLove is a traveler on 'The River Of No Return'(It has) gone forever.Sometimes it's peaceful and sometimes (it’s) wild and freeThe point of no return. (orgasm moment, the point or time that you cannot return to the original point) การกล่าวเปรียบเทียบการพูดเปรียบเทียบในคำประพันธ์มี 2 ลักษณะคือ Simile (อุปมา) และ Metaphor (อุปลักษณ์) ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก คือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกันแต่มีข้อแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือSimile (อุปมา) จะใช้คำว่า Like หรือ As ที่แปลว่า ราวกับว่าตัวอย่าง SimileHe ran as fast as the wind.                 เขาวิ่งไวราวกับลม He eats like a pig.                             เขากินอย่างกับหมู My love is like a red, red rose.             รักของฉันเป็นดั่งกุหลาบแดงสำหรับ Metaphor (อุปลักษณ์) นั้นจะไม่มีคำเหล่านี้ แต่จะเปรียบโดยตรงเลยตัวอย่าง MetaphorHer home was a prison.                 บ้านของเธอคือคุก America is a melting pot.               อเมริกาคือหม้อหลอม You are my sunshine.                   คุณคือแสงตะวันของผมGrammarการใช้ Linking Verbs (คำกริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสLinking verbs คือ กริยาที่ใช้แสดงสภาพ และความรู้สึกของประธาน กริยาชนิดนี้ไม่ต้องการกรรม (object) มารับ แต่ต้องการคำคุณศัพท์ (adjective) และส่วนเติมเต็ม (complement) เพื่อจะมาช่วยให้ประโยคนั้นสมบูรณ์ และมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นI can hear my lover call “Come to me” = ฉันสามารถได้ยินคนรักฉันเรียก มาหาผมหน่อยYou can hear it call, Wailaree! = คุณสามารถได้ยินเสียงร้องว่า โอ้ย...เจ็บปวดLinking Verbs ที่พบบ่อยมีหลายแบบ ได้แก่แบบที่ 1 V. to be ทั่วไปShe is beautiful. (adjective) คำคุณศัพท์She is a teacher. (complement) ส่วนเติมเต็มแบบที่ 2 ใช้รูปแบบS + V + Adjective รูปแบบการใช้ : He got angry. ความหมายกว้างๆ คือ กลายเป็น เปลี่ยนสภาพ กริยาทีใช้ในรูปนี้ ได้แก่คำกริยาความหมายคำกริยาความหมาย·        appearท่าทาง·        proveปรากฏว่า·        becomeเกิดขึ้น·        remainที่เหลืออยู่แน่ว่า·        considerพิจารณาว่า·        seemมีท่าทางว่า·        findเห็นว่า·        smellมีกลิ่น·        growเกิดขี้น·        soundดูเหมือนว่า·        keepรักษา·        tastesมีรส·        lookดูเหมือนว่า·        turnกลายเป็น·        makeทำให้แบบที่3 ใช้บรรยาย หรือ บอกคุณลักษณ์ ของกรรม โดยใช้คำคุณศัพท์ ( Adjectives ) รูปแบบการใช้ : S + V + N + adjective  We consider John crazy ความหมายกว้างๆ คือ พิจารณาเห็นว่า กริยาที่ใช้ในรูปนี้ ได้แก่ คำกริยาความหมายคำกริยาความหมาย·        believeเชื่อว่า·        keepรักษา·        considerเห็นว่า·        leaveทำให้·        findเห็นว่า·        likeชอบ·        haveเตรียม·        makeทำให้·        holdถือว่า·        thinkคิดว่า รูปแบบการใช้ S + V + it + adjective + to V. - We find it difficult to understand Thai. ความหมายกว้างๆ คือ พิจารณาเห็นว่า กริยาที่ใช้ในรูปนี้ ได้แก่คำกริยาความหมายคำกริยาความหมาย·        findเห็นว่า·        makeทำให้·        thinkคิดว่าแบบที่ 4 โครงสร้างประโยคอีกชนิดหนี่งตัวอย่างประโยคThey married young. You should keep quietพวกเขาแต่งงานตอนอายุน้อย คุณควรอยู่เงียบๆ Please lie still. Please stand still.โปรดนอนนิ่งๆ  โปรดยืนนิ่งๆ He looks exhausted. They remain impolite.เขาดูหมดแรง  พวกเขายังคงไม่สุภาพ The bear broke loose.หมีหลุดจากโซ่ข้อความอื่นๆที่มีคำว่า 'no' และความหมายain't got noDon't have any. = ไม่มีอะไรเลยain't no thangIt isn't a thing; No big deal; Don't worry about it. = ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ต้องวิตกกังวล ain't no thing but a chicken wingIt’s okay; Not a big concern. = ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่all bark and no biteTo talk a lot but never take action. = พูดมากแต่ไม่ทำa no-win situationa situation with no possible positive outcome. = ไม่มีทางจะเป็นไปได้ในทางที่ดีclose but no cigaralmost to happen, but not. = เกือบจะเกิดขึ้นแต่ว่าไม่เกิดfeel no painbeing very drunk = เมามากจนไม่รู้เรื่องf*ck me in the ass with no Vaselineexclamation upon realizing one's misfortune = แย่มาก เฮ็งซวยf*ck noไม่ใช่เด็ดขาด ไม่ใช่แน่ๆhell noไม่ใช่เด็ดขาด ไม่ใช่แน่ๆhells noไม่ใช่เด็ดขาด ไม่ใช่แน่ๆhells to the noไม่ใช่เด็ดขาด ไม่ใช่แน่ๆ อย่างไรๆก็ไม่ใช่ รับรองว่าไม่ใช่แน่ๆhell to the noไม่ใช่เด็ดขาด ไม่ใช่แน่ๆ อย่างไรๆก็ไม่ใช่ รับรองว่าไม่ใช่แน่ๆlights are on but no one's homeมีชีวิตอยู่แต่ว่าสมองตายแล้วlong time, no see.ไม่เจอกันเสียนานนะ  สบายดีหรือเปล่า?
18 พฤษภาคม 2563     |      2536
Tennessee Waltz _ Pee Wee King
Tennessee Waltz (เทนเนสซีวอลทซ์Pee Wee Kingแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์I was dancin with my darlin to the Tennessee Waltz When an old friend I happened to see. I introduced him to my darlin and while they were dancin My friend stole my sweetheart from me.ผมกำลังเต้นรำกับคนรักของผมในจังหวะเทนเนสซีวอลทซ์            เมื่อเพื่อนเก่าซึ่งผมบังเอิญพบ            ผมแนะนำเขาให้รู้จักกับคนรักของผม และขณะที่พวกเขากำลังเต้นรำ            เพื่อนของผมก็ขโมยคนรักของผมจากผมไปI remember the night and the Tennessee Waltz Now I know just how much I have lost Yes, I lost my little darlin the night they were playin That beautiful Tennessee Waltzผมจำคืนนั้นและจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์ได้            ขณะนี้ผมรู้ดีว่าผมสูญเสียไปมากมาย            ใช่ ผมสูญเสียคนรักรูปร่างเล็กในคืนที่เขาบรรเลงเพลง            จังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์ที่ไพเราะนั้นNow I wonder how a dance like the Tennessee Waltz Could have broken my heart so complete Well I couldnt blame my darlin, and who could help fallin In love with my darlin so sweetขณะนี้ผมสงสัยว่าการเต้นรำอย่างจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์            ทำให้ผมอกหักอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไร            อ้า ผมไม่สามารถตำหนิคนรักของผมได้ และใครล่ะที่จะอดตกหลุมรัก            กับคนรักของผมที่แสนอ่อนหวานได้Well it must be the fault of the Tennessee Waltz Wish I’d known just how much it would cost But I didn’t see it comin, it’s all over but the cryin Blame it all on the Tennessee Waltzอ้า มันคงต้องเป็นความผิดของจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์            ผมอยากจะรู้ว่าจังหวะเต้นรำนี้มันมีค่ามากน้อยเพียงใด            แต่ว่าผมไม่ได้ยินเสียงของมันแล้ว มันสิ้นสุดแล้ว แต่ว่ามีเสียงร่ำไห้            ตำหนิว่าทุกอย่างเป็นเพราะว่าการเต้นรำจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์She goes dancin with the darkness to the Tennessee Waltz And I feel like I’m falling apart And it’s stronger than drink and it’s deeper than sorrow This darkness she left in my heartหล่อนไปเต้นรำด้วยแรงดำกฤษณาในจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์            และผมรู้สึกเหมือนกำลังแตกสะลาย            และมันรุนแรงมากกว่าเครื่องดื่ม และมันลึกมากกว่าความโศกเศร้า            ในความมืดนี้ที่หล่อนทิ้งไว้ในใจของผมI remember the night and the Tennessee Waltz ‘Cause I know just how much I have lost Yes I lost my little darlin the night they were playin That beautiful Tennessee Waltzผมจำคืนนั้นและจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์ได้            เพราะว่าผมรู้ดีว่าผมสูญเสียไปมากมาย            ใช่ ผมสูญเสียคนรักรูปร่างเล็กในคืนที่เขาบรรเลงเพลง            จังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์ที่ไพเราะนั้นVocabulary Itemsbeautiful (adj) = ไพเราะblame (v) = ตำหนิ ติเตียนbreak, broke, broken (v) = แตกหัก พังทลายcomin = coming (v) = เกิดขึ้น บังเกิดขึ้นcomplete (adj) = สมบูรณ์ สิ้นเชิงcost (v) = มีค่า มีราคาcryin = crying (n) = การร้องไห้ การร่ำไห้dancin = dancing (v) = กำลังเต้นรำdarkness (n) = ความมืด ดำกฤษณา ราคะdarlin = darling (n) = ที่รัก คนรักdeeper (adj) = ลึกกว่าdrink (n) = เครื่องดื่มfall apart (v) = แตกเป็นชิ้นๆfall in love (v) = ตกหลุมรัก หลงรักfault (n) = ความผิดhappen to see (v) = พบโดยบังเอิญintroduce (v) = แนะนำให้คนรู้จักกันIt’s all over. = มันสิ้นสุดแล้วleave, left, left (v) = ละทิ้งไว้lose, lost, lost (v) = สูญเสียplayin = playing (n) = การบรรเลงเพลงsorrow (n) = ความโศกเศร้า ความวิปโยคsteal, stole, stolen (v) = ขโมยstronger (adj) = รสเข้มข้น รสจัด มีดีกรีแอลกอฮอล์มากกว่าsweet (adj) = อ่อนหวานsweetheart (n) = หวานใจ คนรักTennessee Waltz (v) = จังหวะเทนเนสซีวอลทซ์wonder (v) = สงสัย
18 พฤษภาคม 2563     |      150
Tennessee Waltz _ Connie Francis
Tennessee Waltz (เทนเนสซีวอลทซ์Connie Francisแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์[1] I was waltzing with my darling to the Tennessee Waltz When an old friend I happened to see. I introduced him to my loved one and while they were waltzing My friend stole my sweetheart from me.ฉันกำลังเต้นรำกับคนรักของฉันในจังหวะเทนเนสซีวอลทซ์            เมื่อเพื่อนเก่าซึ่งฉันบังเอิญพบ            ฉันแนะนำเธอให้รู้จักกับคนรักของฉัน และขณะที่พวกเขากำลังเต้นรำ            เพื่อนของฉันก็ขโมยคนรักของฉันจากฉันไป[2] I remember the night and the Tennessee Waltz Now I know just how much I have lost Yes, I lost my little darling the night they were playing That beautiful Tennessee Waltzฉันจำคืนนั้นและจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์ได้            ขณะนี้ฉันรู้ดีว่าฉันสูญเสียไปมากมาย            ใช่ ฉันสูญเสียคนรักรูปร่างเล็กในคืนที่เขาบรรเลงเพลง            จังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์ที่ไพเราะนั้น[1][2]Vocabulary Itemsbeautiful (adj) = ไพเราะdancing (v) = กำลังเต้นรำdarling (n) = ที่รัก คนรักhappen to see (v) = พบโดยบังเอิญintroduce (v) = แนะนำให้คนรู้จักกันlose, lost, lost (v) = สูญเสียplaying (n) = การบรรเลงเพลงsteal, stole, stolen (v) = ขโมยsweetheart (n) = หวานใจ คนรักTennessee Waltz (v) = จังหวะเทนเนสซีวอลทซ์
18 พฤษภาคม 2563     |      2098
You've Got a Friend
You've Got a Friendคุณมีเพื่อนคนหนึ่งแล้วJames Taylor แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์When you're down and troubled and you need a helping hand and nothing, whoa, nothing is going right. Close your eyes and think of me and soon I will be there to brighten up even your darkest nights.เมื่อคุณล้มและมีปัญหา และคุณต้องการความช่วยเหลือและไม่มีอะไร ไม่มีอะไรที่จะถูกต้อง (ดีขึ้นจงหลับตาและคิดถึงข้าพเจ้า และในไม่ช้าข้าพเจ้าจะไปยังที่นั่นเพื่อให้แสงสว่างแก่คุณ แม้ว่าจะเป็นคืนที่มืดมิดที่สุดก็ตาม[1] You just call out my name, and you know where ever I am I'll come running to see you again. Winter, spring, summer, or fall, all you have to do is call and I'll be there, yeah, yeah, You've got a friend.คุณเพียงแต่เรียกชื่อข้าพเจ้า และคุณก็รู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหนข้าพเจ้าจะรีบวิ่งมาหาคุณอีกฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ร่วง สิ่งที่คุณต้องทำก็เพียงแต่เรียกชื่อข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็จะไปที่นั่นคุณมีเพื่อนคนหนึ่งแล้วIf the sky above you should turn dark and full of clouds and that old north wind should begin to blow, keep your head together and call my name out loud. Soon I will be knocking upon your door. You just call out my name, and you know where ever I am I'll come running to see you again. Winter, spring, summer, or fall, all you have to do is call and I'll be there.ถ้าท้องฟ้าเหนือศีรษะคุณจะกลายเป็นสีดำและเต็มไปด้วยเมฆและลมเหนือเดิมจะเริ่มพัดจงตั้งสติอยู่ในความสงบ และเรียกชื่อข้าพเจ้าดังๆในไม่ช้าข้าพเจ้าจะมาเคาะที่ประตูของคุณคุณเพียงแต่เรียกชื่อของข้าพเจ้า และคุณรู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่ไหนข้าพเจ้าจะรีบวิ่งมาหาคุณอีกฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ร่วงสิ่งที่คุณต้องทำก็เพียงแต่เรียกชื่อข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็จะไปที่นั่น[2] Hey, ain't it good to know that you've got a friend? People can be so cold. They'll hurt you and desert you. Well, they'll take your soul if you let them, oh yeah, but don't you let them.สวัสดี มันเป็นการดีไหมที่รู้ว่าคุณมีเพื่อนคนหนึ่ง? คนอื่นๆอาจจะเฉยชามากเขาจะทำร้ายคุณและละทิ้งคุณ อ้า...เขาจะเอาวิญญาณของคุณถ้าคุณปล่อยให้เขาทำโอ้...แต่ว่า คุณจะปล่อยให้เขาทำหรือ?[1][2]Vocabulary Itemsa helping hand = ความช่วยเหลือbe going right = ถูกต้องดีขึ้นain't = isn’tbe down (adj) = รู้สึกหดหู่blow (v) = พัดbrighten up (v) = เพื่อให้แสงสว่างcall out (v) = ร้องเรียกcall out loud (v) = เรียกดังๆ ตะโกนเสียงดังclose your eyes = หลับตาcloud (n) = ก้อนเมฆcold (adj) = เฉยชา ไม่สนใจใยดีcome running to see you = รีบวิ่งมาหาคุณdark (n) = สีดำdarkest night (n) = คืนที่มืดมิดที่สุดdesert (v) = ละทิ้ง ปล่อยปละละเลยFall (n) = ฤดูใบไม้ร่วงfull of (adj) = เต็มไปด้วยhurt (v) = ทำให้บาดเจ็บ ทำให้เจ็บใจkeep your head together = จงตั้งสติอยู่ในความสงบknock upon/on (v) = เคาะที่ เคาะบนlet (v) = อนุญาต ปล่อยให้ทำnorth wind (n) = ลมเหนือpeople (n) = คนทั่วไปsoon (adv) = ในไม่ช้าsoul (n) = วิญญาณSpring (n) = ฤดูใบไม้ผลิSummer (n) =ฤดูร้อนthink of (v) = คิดถึงtroubled (adj) = มีปัญหา turn (v) = กลายเป็นWinter (n) = ฤดูหนาวYou've got a friend. = คุณมีเพื่อนคนหนึ่งแล้ว
17 พฤษภาคม 2563     |      250
You’ll Never Find Another Love Like Mine
           You’ll Never Find Another Love Like Mineคุณจะไม่มีวันพบความรักอื่นใดเหมือนความรักของผมLou Rawlsแปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์You'll never find, as long as you live Someone who loves you tender like I do You'll never find, no matter where you search Someone who cares about you the way I doคุณจะไม่พบตราบเท่าที่คุณมีชีวิตอยู่ใครสักคนหนึ่งที่รักคุณอย่างนุ่มนวลเช่นเดียวกับผมคุณจะไม่มีวันพบ ไม่ว่าคุณจะค้นหาที่ใดก็ตามใครสักคนหนึ่งที่สนใจใยดีคุณอย่างที่ผมเป็นWhoa, I'm not braggin' on myself, baby But I'm the one who loves you And there's no one else! No... one elseโอ้ ผมไม่ได้พูดโม้เองนะที่รักแต่ว่าผมคือคนที่รักคุณและไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ไม่มีใครเลยYou'll never find, it'll take the end of all time Someone to understand you like I do You'll never find the rhythm, the rhyme All the magic we shared, just us twoคุณจะไม่มีวันพบจนชั่วนิจนิรันดร์คนที่เข้าใจคุณเหมือนอย่างผมคุณจะไม่มีวันพบการกระทำใดๆที่สอดประสานกันได้ดีที่เราทั้งคู่ได้ทำร่วมกัน ระหว่างเราสองคนเท่านั้นWhoa, I'm not tryin' to make you stay, baby But I know some how, some day, some way You are (you're gonna miss my lovin') You're gonna miss my lovin' (you're gonna miss my lovin') You're gonna miss my lovin' (you're gonna miss my lovin') You're gonna miss, you're gonna miss my loveโอ้ ผมไม่ได้พยายามที่จะทำให้คุณอยู่ต่อนะ ที่รักแต่ผมรู้ว่าด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง วันใดวันหนึ่ง วิธีใดวิธีหนึ่งคุณจะคิดถึง (คุณจะคิดถึงความรักของผมคุณจะคิดถึง (คุณจะคิดถึงความรักของผมคุณจะคิดถึง คุณจะคิดถึงความรักของผมWhoa, oh, oh, oh, oh (you're gonna miss my lovin') Late in the midnight hour, baby (you're gonna miss my lovin') When it's cold outside (you're gonna miss my lovin') You're gonna miss, you're gonna miss my loveโอ้..โอ้โอ้โอ้โอ้คุณจะคิดถึงความรักของผมตอนเวลาเที่ยงคืน ที่รัก ..(คุณจะคิดถึงความรักของผมเมื่อข้างนอกอากาศหนาว ..(คุณจะคิดถึงความรักของผมคุณจะคิดถึง คุณจะคิดถึงความรักของผมYou'll never find another love like mine Someone who needs you like I do You'll never see what you've found in me You'll keep searching and searching your whole life throughคุณจะไม่มีวันพบความรักอื่นใดเหมือนความรักของผมคนคนหนึ่งที่ต้องการคุณเหมือนผมคุณจะไม่มีวันพบสิ่งที่คุณได้พบในตัวของผมคุณจะเสาะแสวงหาและค้นหาตลอดทั้งชีวิตคุณ (ก็ไม่พบWhoa, I don't wish you no bad luck, baby But there's no ifs and buts or maybesโอ้ ผมไม่อยากให้คุณโชคไม่ดี ที่รักแต่มันจะไม่มีคำว่าถ้า หรือแต่ หรืออาจะมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือเมื่อไหร่ก็ตาม(You're gonna) You're gonna miss (miss my lovin') You're gonna miss my lovin' (you're gonna miss my lovin') I know you're gonna miss my lovin' (you're gonna miss mylovin') You're gonna miss, you're gonna miss my loveคุณจะ คุณจะคิดถึง คิดถึงความรักของผมคุณจะคิดถึงความรักของผม (คุณจะคิดถึงความรักของผมผมรู้ว่าคุณจะคิดถึงความรักของผม(คุณจะคิดถึงความรักของผมคุณจะคิดถึง คุณจะคิดถึงความรักของผมWhoa, oh, oh, oh, oh (you're gonna miss my lovin') Late in the midnight hour, baby (you're gonna miss my lovin') When it gets real cold outside (you're gonna miss my lovin') I know, I know that you are gonna miss my loveโอ้..โอ้โอ้โอ้โอ้คุณจะคิดถึงความรักของผมตอนเวลาเที่ยงคืน ที่รัก ..(คุณจะคิดถึงความรักของผมเมื่อข้างนอกอากาศหนาวเหน็บ ..(คุณจะคิดถึงความรักของผมผมรู้ ผมรู้ว่าคุณจะคิดถึงความรักของผมLet me tell you that you're gonna miss my lovin' Yes you will, baby (you're gonna miss my lovin') When I'm long gone I know, I know, I know that you are gonna miss my love You gonna miss my loveขอให้ผมได้บอกคุณเถอะว่า คุณจะคิดถึงความรักของผม            ใช่ คุณจะคิดถึง ที่รัก (คุณจะคิดถึงความรักของผมเมื่อผมจากคุณไปนาน            ผมรู้ ผมรู้ ผมรู้ว่าคุณจะคิดถึงความรักของผม            คุณจะคิดถึงความรักของผมVocabulary Itemsas long as (adv) = ตราบเท่าที่ นานเท่าที่brag (v) = พูดโม้ พูดโอ้อวดcare (v) = สนใจใยดีfind (v) = พบIt'll take the end of all time. = มันจะใช้เวลาจนชั่วนิจนิรันดร์loving (n) = ความรัก ความน่ารักluck (n) = โชคmagic (n) = สิ่งมหัศจรรย์midnight (n) = เวลาเที่ยงคืนmiss (v) = คิดถึงneed (v) = ต้องการมากno matter where you search = ไม่ว่าคุณจะค้นหาที่ใดก็ตามno one else = ไม่มีใครอื่นอีกrhythm (n) = จังหวะ การรู้เท่าทันกันshare (v) = แบ่งปันstay (v) = พักอยู่ อาศัยอยู่tender (adj) = นุ่มนวลtry (v) = พยายามunderstand (v) = เข้าใจwhen I'm long gone = เมื่อผมจากไปนานwhole life through = ตลอดทั้งชีวิตwish (v) = ปรารถนา อยาก
17 พฤษภาคม 2563     |      1469
Yesterday When I was Young
Yesterday When I was Young (เมื่อวานนี้เมื่อผมยังเป็นหนุ่มBobby Bareแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Yesterday when I was young The taste of life was sweet as rain upon my tongue I teased at life as if it were a foolish game The way the evening breeze may tease a candle flame The thousand dreams I dreamed the splendid things I planned I'd always built to last on weak and shifting sand I lived by night and shunned the naked light of day And only now I see how the years ran awayเมื่อวานนี้เมื่อผมยังเป็นหนุ่มรสชาติของชีวิตมันหวานดุจดั่งน้ำฝนบนปลายลิ้นผมล้อเล่นกับชีวิตดุจประหนึ่งว่ามันเป็นการละเล่นที่ไม่จริงจัง              เหมือนอย่างที่สายลมยามเย็นล้อเล่นกับเปลวเทียน              ผมฝันถึงเรื่องดีๆเป็นร้อยๆเรื่องและวางแผนตามสิ่งที่ผมฝัน              ผมมักสร้างความฝันขึ้นอย่างลมๆแล้ง ไม่แน่นอน              ผมใช้ชีวิตอยู่ตอนกลางคืนและหลีกเลี่ยงแสงสว่างๆของกลางวัน              และตอนนี้ผมเห็นแล้วว่าเวลามันผ่านเลยไปแล้วYesterday when I was young So many happy songs were waiting to be sung So many wild pleasures lay in store for me And so much pain my dazzled eyes refused to see I ran so fast that time and youth at last ran out I never stopped to think what life was all about And every conversation I can now recall Concerned itself with me and nothing else at allเมื่อวานนี้เมื่อผมยังเป็นหนุ่มมีเพลงไพเราะสนุกสนานรอที่จะขับร้องจำนวนมากมีความสนุกรื่นเริงที่ผมจะทำมากมาย              และมีความเจ็บปวดมากมายซึ่งตาที่เคลิบเคลิ้มของผมปฏิเสธที่จะมองเห็นตอนนั้นผมใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยมาก และในที่สุดความหนุ่มก็หมดสิ้นไป              ผมไม่เคยหยุดที่จะคิดว่าชีวิตว่ามันคืออะไร              และทุกคำพูดผมสามารถที่ระลึกถึงได้              ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวผมและไม่มีเรื่องเกี่ยวกับคนอื่นเลยYesterday the moon was blue And every crazy day brought something new to do I used my magic age as if it were a wand And never saw the waste and emptiness beyond The game of love I played with arrogance and pride And every flame I lit too quickly, quickly died The friends I made all seemed somehow to drift away And only I am left on stage to end the playเมื่อวานนี้ดวงจันทร์เป็นสีน้ำเงินและแต่ละวันที่สับสนวุ่นวายก็มีแต่สิ่งใหม่ๆให้กระทำผมใช้อายุที่มหัสจรรย์นั้นดุจดั่งกับว่ามันเป็นไม้กายสิทธิ์              และไม่เคยเห็นว่ามันจะสูญเปล่าหรือไร้ค่านอกเหนือจาก              เกมส์ของความรักที่ผมเล่นอยู่อย่างยะโสและภาคภูมิใจ              และเปลวไฟแต่ละดวงที่ผมจุดขึ้นมันก็ไหม้วอดไปอย่างรวดเร็วมาก              เพื่อนฝูงทั้งหลายที่ผมมีก็รู้สึกว่าจะหนีหายไป              และยังเหลือแต่ผมเพียงลำพังบนเวทีนี้เพื่อทำให้การแสดงมันจบสิ้นThere are so many songs in me that won't be sung I feel the bitter taste of tears upon my tongue The time has come for me to pay For yesterday when I  was  young               ยังมีเพลงอีกจำนวนมากในตัวผมที่คงจะไม่ได้ร้องผมรู้สึกถึงรสขมของน้ำตาที่อยู่บนปลายลิ้น              เวลาของผมได้มาถึงแล้วที่ต้องทุกข์ทรมาณจากความผิดพลาด              เมื่อวานนี้เมื่อผมยังเป็นหนุ่มVocabulary Itemsarrogance (n) =ความยะโสas if = ประดุจหนึ่งว่าbeyond (prep) = นอกเหนือจากbitter taste (n) = รสขมbreeze (n) = สายลมโชยcandle (n) = เทียนไขconcerned (v) = เกี่ยวกับ conversation (n) = การสนทนาcrazy (adj) = บ้าๆบอๆ dazzled eyes = ตาที่เคลิบเคลิ้มdrift away (v) = ลอยจากไป หนีจากไปemptiness (n) = ความว่างเปล่าflame (n) = เปลวไฟlight of day = แสงกลางวันlive by night (v) = ใช้ชีวิตอยู่ตอนกลางคืนmagic age (n) = ช่วงอายุที่วิเศษ naked (pp.) = เปลือยกาย เปล่าpride (n) = ความภาคภูมิใจrecall (v) = ระลึกถึงrefuse (v) = ปฏิเสธrun away (v) = วิ่งหนี ผ่านไปอย่างรวดเร็วrun out (v) = หมด ไม่เหลือshunned (pp) = มืนงงsplendid (adj) = วิเศษ สวยงาม taste (n) = รสชาดtease (v) = ล้อเล่นtongue (n) = ลิ้นwand (n) = ไม้กายสิทธิ์waste (n) = ความสูญเปล่าwild pleasure (n) = ความสนุกรื่นเริงอย่างบ้าคลั่งIdioms:blue in the face (โกรธจนหน้าเขียวI argued with them until I was blue in the face.into the blue (ระยะทางไกลมากEvery year he takes a trip into the blue.out of the blue (อยู่ๆก็ปรากฏให้เห็นMy long lost friend came to see me out of the blue last month.Once in a blue moon (นานๆครั้ง            He comes home once in a blue moon.ความหมายของ Blue Moon มี 3 อย่าง คือBlue Moon = คืนวันเพ็ญครั้งที่ 3 ในจำนวน 4 ครั้งซึ่งแต่ละครั้งเกิดขึ้นใน 1 ฤดูBlue Moon = คืนวันเพ็ญครั้งที่ 2 ของแต่ละเดือนBlue Moon = คืนวันเพ็ญที่ท้องฟ้าแจ่มใส ทำให้ดวงจันทร์มีสีน้ำเงินปกติแล้ว Blue Moon หมายถึงความหมายที่ 1 และถ้าฤดูใดมีดวงจันทร์เต็มดวง 4 ครั้ง ครั้งที่ 4 ก็เรียกว่า Blue Moon ด้วยBlue Moon จะเกิดขึ้นครั้งต่อไป18 May, 201922 August, 202119 August, 2024ดวงจันทร์สีอะไร?ดวงจันทร์อาจมีได้หลายสี แล้วแต่ปัจจัยแวดล้อม เช่น blue, red, silvery, white, chalky white and yellowish.
17 พฤษภาคม 2563     |      3080
Till
Tillจนกระทั่งJane Morganแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Till the moon deserts the sky Till all the seas run dry Till then I'll worship you.จนกระทั่งดวงจันทร์หายไปจากท้องฟ้าจนกว่าน้ำในทะเลเหือดแห้งจนกระทั่งถึงตอนนั้น ฉันจะบูชาคุณTill the tropic sun grows cold Till this young world grows old My darling I'll adore you.จนกว่าดวงอาทิตย์ในบริเวณเส้นศูนย์สูตรเย็นลงจนกระทั่งโลกที่เยาว์วัยนี้มีอายุมากขึ้นที่รักของฉัน ฉันจะคงรักคุณมากYou are my reason to live All I own I would give Just to have you adore me.คุณคือเหตุผลที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ทุกอย่างที่ฉันมีอยู่ ฉันจะให้คุณเพียงเพื่อให้คุณรักฉันTill the rivers flow up stream Till lovers cease to dream Till then I'm yours, be mine.จนกระทั่งแม่น้ำไหลย้อนกลับสู่ลำธารจนกระทั่งคนรักกันหยุดฝันจวบจนกระทั่งตอนนั้นฉันจะเป็นของคุณ และคุณก็เป็นของฉันนะ Vocabulary Itemsadore (v) = รักใคร่ ชื่นชม บูชาdesert (v) = ละทิ้งdry (adj) = เหือดแห้งflow up (v) = ไหลย้อนown (v) = เป็นเจ้าของstream (n) = ลำธารtropic (n) = เส้นศูนย์สูตรworship (v) =บูชาExpressionsTill the moon deserts the sky.Till all the seas run dry.Till the tropic sun grows cold.Till this young world grows old.Till the rivers flow up stream.Till lovers cease to dream.Till then I'm yours, be mine.GrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นTill the moon deserts the sky.Till all the seas run dry.Simple Future Tenseอนาคตกาลธรรมดา เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นTill then, I'll worship you.My darling, I’ll adore you.
17 พฤษภาคม 2563     |      689
ทั้งหมด 42 หน้า