The Way It Used To Be
The Way It Used To Be (อย่างที่มันเคยเป็นEngelbert Humperdinckแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Lonely table just for one In a bright and crowded room While the music has begun I drink to memories in the gloom Though the music's still the same It has a bittersweet refrainโต๊ะที่โดดเดี่ยวตัวหนึ่งเพียงเพื่อสำหรับคนหนึ่งคนตั้งอยู่ในห้องที่สว่างและพลุกพล่านด้วยผู้คนขณะที่ดนตรีได้เริ่มบรรเลงผมนั่งดื่มให้กับความทรงจำด้วยความเศร้าหมองแม้ว่าเสียงดนตรียังเหมือนเดิมมันมีท่อนซ้ำที่หวานเจือขมขื่น[1] So play the song the way it used to be Before she left and changed it all to sadness And maybe if she's passing by the window She will hear our love song and the melody And even if the words are not so tender She will always remember the way it used to beดังนั้น เขาบรรเลงเพลงอย่างที่เขาเคยบรรเลงก่อนที่หล่อนจากไปและเปลี่ยนเป็นเพลงเศร้าทั้งหมดและเป็นไปได้ว่า ถ้าหล่อนผ่านมาทางหน้าต่างหล่อนจะได้ยินเสียงเพลงรักของเราและทำนองเพลงและแม้ว่าถ้อยคำจะไม่ไพเราะมากนักหล่อนจะยังจำได้เสมอว่ามันเคยเป็นเช่นไรFriends stop by and say hello And I laugh and hide the pain It's quite easy to let go Then the song begins againเพื่อนฝูงหยุดแวะมากล่าวทักทายและผมหัวเราะและซ่อนเร้นความเจ็บปวดไว้มันเป็นการง่ายมากที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแล้วเพลงก็เริ่มต้นอีก[1]Vocabulary Itemsbittersweet (adj) = หวานปนขมขื่นbright (adj) = สว่างcrowded (p.p.) = คนคับคั่งgloom (adj) = เศร้าlonely (adj) = โดดเดี่ยวmelody (n) = ทำนองเพลงmemory (n) = ความจำpass by (v) = ผ่านเลยไปrefrain (n) = ท่อนซ้ำ ของบทเพลงremember (v) = จดจำsadness (n) = ความเศร้าstop by (v) = หยุดทักทายtender (adj) = อ่อนโยน ไพเราะExpressionsI drink to memories. ฉันดื่มให้กับความทรงจำI laugh and hide the pain. ฉันหัวเราะและซ่อนความเจ็บปวดIt's quite easy to let go. มันเป็นการง่ายที่จะปล่อยมันเป็นไปเช่นนั้นThe way it used to be. วิธีที่มันเคยเป็นGrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในขณะที่พูดเป็นปกติวิสัย เช่นI drink to memories in the gloom.Though the music's still the same.It has a bittersweet refrain.Simple Past Tenseปัจจุบันกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งเกิดขึ้นและสิ้นสุดแล้วในอดีต เช่นBefore she left and changed it all to sadness. ประโยคเงื่อนไขชนิดที่ 2 (Possible Present Conditions) สมมุติฐาน หรือเงื่อนไขที่เป็นจริงได้ในปัจจุบัน เช่นIf + Simple Present Tense, + Simple Future TenseIf + Present Progressive Tense, + Simple Future TenseIf it rains, I will not go out tonight.If she is passing by the window, she will hear our love song and the melody.Even if the words are not so tender, she will always remember the way it used to be.
17 พฤษภาคม 2563     |      1601
The Twelfth of Never
The Twelfth of Never (ชั่วนิรันดร)Johnny Mathisแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์You ask how much I need you, must I explain? I need you, oh my darling, like roses need rain. You ask how long I'll love you; I'll tell you true: Until the twelfth of never, I'll still be loving you.คุณถามว่าผมต้องการคุณมากสักเท่าใด ผมจะต้องอธิบายไหม?ผมต้องการคุณ โอ้ ที่รักของผม เหมือนดั่งกุหลาบต้องการน้ำฝนคุณถามว่าผมจะรักคุณนานสักเท่าใด ผมจะบอกความจริงกับคุณว่าจวบจนนิรันดร ผมก็ยังจะรักคุณHold me close, never let me go. Hold me close, melt my heart like April snow.จงกอดผมไว้ให้แนบชิด อย่าปล่อยผมไปเลยจงกอดผมไว้ให้แนบชิด ทำให้ดวงใจของผมหลอมละลายเหมือนดั่งหิมะในเดือนเมษายนI'll love you till the bluebells forget to bloom; I'll love you till the clover has lost its perfume. I'll love you till the poets run out of rhyme, Until the twelfth of never and that's a long, long time.ผมจะรักคุณจนกระทั่งดอกบลูเบลลืมบานผมจะรักคุณจนกระทั่งดอกโคลฟเว่อร์หมดกลิ่นแล้วผมจะรักคุณจนกระทั่งนักประพันธ์หาถ้อยคำมาเขียนไม่ได้จวบจนนิรันดร และนั่นก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากHold me close, never let me go. Hold me close, melt my heart like April snow.จงกอดผมไว้ให้แนบชิด อย่าปล่อยผมไปเลยจงกอดผมไว้ให้แนบชิด ทำให้ดวงใจของผมหลอมละลายเหมือนดั่งหิมะในเดือนเมษายนI'll love you till the bluebells forget to bloom; I'll love you till the clover has lost its perfume. I'll love you till the poets run out of rhyme, Until the twelfth of never and that's a long, long time.ผมจะรักคุณจนกระทั่งดอกบลูเบลลืมบานผมจะรักคุณจนกระทั่งดอกโคลฟเว่อร์หมดกลิ่นแล้วผมจะรักคุณจนกระทั่งนักประพันธ์หาถ้อยคำมาเขียนไม่ได้จวบจนนิรันดร และนั่นก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากUntil the twelfth of never and that's a long, long time.จวบจนนิรันดร และนั่นก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก Vocabulalry Itemsblue bells (n) ดอกระฆังน้ำเงินclover (n) ดอกโคลฟเวอร์poet (n) นักประพันธ์bloom (v) ออกดอกperfume (n) กลิ่นหอมrhyme (n) คำสัมผัสดอกบลูเบลล์ (Blue Bell) เป็นดอกไม้ทรงระฆังคว่ำสีน้ำเงินม่วงบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิในประเทศเขตหนาวมีถิ่นกำเนิดในที่ราบสูงตามเทือกเขาในทวีปอเมริกาและยุโรป เป็นพืชป่าที่มีขนาดเล็ก ชอบสภาพอากาศที่ดี ดอกมีขนาดเล็กและเกิดเป็นพวง 5-8 ดอก บลูเบลล์เป็นพืชที่เกิดเป็นกลุ่ม จึงทำให้บริเวณที่มีดอกบลูเบลล์นั้นกลายเป็นทุ่งบลูเบลล์สีน้ำเงินม่วงสวยงามดอกบลูเบลล์หมายถึง ความซื่อสัตย์ และ ความจงรักภักดี (Faithfulness, Royalty)ดอกโคลฟเวอร์ (Clover) เป็นดอกไม้ป่าตระกูลถั่วที่มีหลายสี เช่น แดง ขาว มีใบกลุ่ม 3 ใบ ดังนั้น หากว่าใครพบดอกไม้ชนิดนี้มี 4 ใบอยู่ด้วยกันแสดงว่าโชคดี ดอกไม้ ลำต้น และหัวของมันมีการนำไปใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิด เช่น ลด cholesterolควบคุมอาการร้อนหนาวสำหรับหญิงที่เข้าสู่วัยทอง (hot flashes) รักษาโรคมะเร็ง  โรคไอ และทางเดินหายใจ whooping coughcoughasthmabronchitisเป็นต้น  ดอก Clover มีความหมายว่าFour-leaf clover = lucky, be mineRed clover = industryWhite clover = I promise, Think of me.ExpressionsThe blue bells forget to bloom. ดอกบลูเบลลืมบาน (ลืมออกดอกThe clover has lost its perfume. ดอกโคลฟเว่อร์หมดกลิ่นแล้ว (ไม่มีกลิ่นแล้วThe poets run out of rhyme. นักประพันธ์หาถ้อยคำมาเขียนไม่ได้Until the twelfth of never. จวบจนนิรันดรThe Twelfth of Never (เวลานิรันดร์            The Twelfth of Never (เวลานิรันดร์คือเวลาที่ไม่มีจริงในอนาคต ดังนั้น เมื่อไม่มีเวลาดังกล่าว จึงจะไม่มีวันที่จะผ่านพ้นเวลาดังกล่าวได้ ปัญหาก็คือ ทำไมจะต้องเป็น ที่ 12 (The Twelfth)?เลข 12 เป็นเลขที่เกี่ยวข้องทางศาสนาและความเชื่อของคนตะวันตกมาก เพราะเชื่อว่าเลข 12 เกี่ยวข้องกับชีวิต ความจริง เวลา และการวัด เช่น1 รอบจักราศี (Zodiac) มี 12 ปี1 ปี มี 12 เดือน1 วัน มีเวลากลางวันและกลางคืนอย่างละ 12 ชั่วโมงมีชนเผ่าโบราณใน Israel 12 ชนเผ่าเด็กคือคนอายุ 1-12 ปี1 โหลมี 12 ชิ้น1 ฟุตมี 12 นิ้ว1 Shilling = 12 Penny1 Gross (กุรุส) = 12 x 12 ชิ้นChristmas มี 12 วัน (25 ธันวาคม ถึง 5 มกราคมKing Arthur ประชุมโต๊ะกลมมีอัศวิน 12 คนShakespeare เขียน Twelfth Night (อาหรับราตรีHercules มีภาระที่ต้องทำ 12 อย่างประตูสวรรค์มี 12 ประตูดังนั้น The Twelfth of Never จึงเกี่ยวข้องกับเวลา เช่นเดียวกับ The Twelfth of January (วันที่ 12 มกราคม แต่ Never เป็นเวลาที่ไม่เกิดขึ้น จึงเป็นช่วงเวลานิรันดร์นอกจากนี้ มีคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ที่ว่า ในสมัยโบราณการนับเวลานับ1-11 เพราะกลางวันหรือกลางคืนมีเพียง 12 ชั่วโมง ดังนั้น 12 จึงเป็นจำนวนเต็ม ถ้าเวลา 12:30 ก็จะพูดว่า oh-thirty หรือ ought-thirty ต่อมาในสมัย Pope Leo IV จึงเปลี่ยนให้เรียกว่า twelfth-thirty เพื่อให้เข้าใจง่าย ด้วยเหตุนี้คำว่า The Twelfth of Never จึงหมายถึงเวลาที่ไม่เกิดขึ้น จึงเป็นช่วงเวลานิรันดร์GrammarPresent Perfect Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แล้วยังเกิดติดต่อกันเรื่อยมาถึงปัจจุบัน เช่นThe clover has lost its perfume.ดอกโคลฟเว่อร์หมดกลิ่นแล้วไม่เหลือแม้แต่กลิ่นSimple Present Tense (ปัจจุบันกาลอย่างง่าย เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติ เช่นThe bluebells forget to bloom. ดอกบลูเบลลืมบานThe poets run out of rhyme. นักประพันธ์หาถ้อยคำมาเขียนไม่ได้ประโยคพูดทางอ้อม (Indirect Speech Sentence) ชนิดที่เป็นคำถาม ซึ่งจะมีรูปเป็นประโยคบอกเล่า (Statement) ไม่ใช่ประโยคคำถาม จึงไม่ต้องมีเครื่องหมาย Question Mark เช่นYou ask (me) how much I need you. = She asks me, “How much do you love me?”You ask (me) how long I'll love you. = She asks me, “How long will you love me?”การใช้ Simile (อุปมา)และMetaphor (อุปลักษณ์) เพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกกับสิ่งอื่น ซึ่งมีข้อแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือSimile (อุปมา)จะใช้คำว่า Like หรือ As ที่แปลว่า ราวกับว่า ดุจดั่งว่า ประดุจดังหนึ่งว่า เป็นดั่ง เหมือนดั่ง เช่นHe ran as fast as the wind.           เขาวิ่งไวราวกับลมI need you like roses need rain. ผมต้องการคุณเหมือนดั่งกุหลาบต้องการฝนMy love is likea red, red rose.       รักของผมเป็นดั่งกุหลาบสีแดงMelt my heart like April snow. ทำให้หัวใจของผมละลายเหมือนดั่งหิมะในเดือนเมษายนสำหรับ Metaphor (อุปลักษณ์)นั้นจะไม่มีคำว่า Like หรือ As  แต่จะเปรียบโดยตรง เช่นHer home was a prison.                 บ้านของเธอคือคุกAmerica is a melting pot.               อเมริกาคือหม้อหลอมYou are my sunshine.                   คุณคือแสงตะวันของผม
17 พฤษภาคม 2563     |      2524
The Mansion You Stole
The Mansion You Stole คฤหาสน์ที่คุณขโมยไปJohnny Hortonแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์The mansion I own Has captured your heart You said it was love, dear But you lied from the startคฤหาสน์ที่ผมเป็นเจ้าของ            ได้ครอบครองหัวใจของคุณ (คุณต้องการอยากได้            คุณพูดว่ามันคือความรัก ที่รัก            แต่คุณโกหกตั้งแต่แรกเริ่มแล้วI wanted true love But you wanted my gold Some day you'll be sorry For the lies that you toldผมต้องการความรักที่แท้จริง            แต่คุณต้องการทอง (ทรัพย์สมบัติ ของผม            สักวันหนึ่งคุณจะเสียใจ            สำหรับการโกหกที่คุณบอก[1] You've stolen my heart And you cheated on me But someday my darlin' I know that you'll seeคุณได้ขโมยหัวใจของผม            และคุณหลอกลวงผม            แต่สักวันหนึ่งเถอะ ที่รักของผม            ผมรู้ว่า คุณจะเห็นผลลัพธ์[2] A house without love Can make you so cold And you will be lonely In the mansion you stoleบ้านที่ปราศจากความรัก            สามารถทำให้คุณรู้สึกหนาวได้มาก            และคุณจะโดดเดี่ยวอ้างว้าง            ในคฤหาสน์ที่คุณขโมยไปYou said it was love, dear But you lied from the startSome day you'll be sorry For the lies that you toldคุณพูดว่ามันคือความรัก ที่รัก            แต่คุณโกหกตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว            สักวันหนึ่งคุณจะเสียใจ            สำหรับการโกหกที่คุณบอก[1][2]Vocabulary Itemscapture (v) = ติดตรึง ตรึงแน่นcheat (v) = หลอกลวงdarlin’ (n) = darling ที่รักlie (v) = โกหกmansion (n) = becauseown (v) = เป็นเจ้าของsteal stole stolen (v) = ขโมยExpressionsSome day you'll be sorry. = สักวันหนึ่งคุณจะเสียใจA house without love can make you so cold.= บ้านที่ไม่มีความรักจะทำให้คุณหนาวสั่นได้You've stolen my heart. = คุณได้ขโมยหัวใจของผมไปแล้วGrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลอย่างง่าย เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นA house without love can make you so cold.Present Perfect Tenseปัจจุบันกาลสมบูรณ์ เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ดำเนินติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และอาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้ด้วย เช่นYou have stolen my heart.. คุณได้ขโมยหัวใจของผมไปแล้วSimple Past Tenseอดีตกาลธรรมดาเพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดแล้วในอดีตในขณะที่พูด เช่นYou said it was love, dear.And you cheated on me.I wanted true love.But you wanted my gold.Simple Future Tenseอนาคตกาลธรรมดา เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นSome day you will be sorry.You will be lonely in the mansion.
17 พฤษภาคม 2563     |      1035
The Long and Winding Road
The Long and Winding Road ถนนที่ยาวและคดเคี้ยวThe Beatlesแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์The long and winding road That leads to your door Will never disappear I've seen that road before It always leads me here Lead me to your doorถนนที่ยาวและคดเคี้ยวซึ่งมุ่งไปสู่ประตูของคุณจะไม่หายไปไหนเลยผมเคยเห็นถนนนี้มาก่อนมันนำผมมาสู่ที่นี่เสมอนำผมมาที่ประตูของคุณThe wild and windy night That the rain washed away Has left a pool of tears Crying for the day Why leave me standing here Let me know the wayกลางคืนที่มีลมพัดแรงและน่ากลัวซึ่งน้ำฝนไหลชะล้างสิ่งต่างๆยังคงไว้แต่น้ำตามากมายร่ำไห้ถึงตอนกลางวันทำไมจึงปล่อยให้ผมยืนอยู่ที่นี่บอกทางที่จะไปให้ผมรู้ด้วยซิMany times I've been alone And many times I've cried Any way you'll never know The many ways I've triedหลายครั้งที่ผมอยู่โดดเดี่ยวและหลายครั้งที่ผมร้องไห้แต่อย่างไรก็ตาม คุณจะไม่รู้เลยว่าผมได้พยายามหาหนทางจะไปหลายทาง[1] But still they lead me back To the long winding road You left me standing here A long long time ago Don't leave me waiting here Lead me to your doorแต่ว่าหนทางเหล่านั้นก็นำผมกลับมาสู่ที่เดิมมายังถนนที่คดเคี้ยวนี้คุณปล่อยให้ผมอยู่ที่นี่เป็นเวลาแสนนานมาแล้วอย่าปล่อยให้ผมคอยอยู่ที่นี่จงนำผมไปที่ประตูของคุณซิ[1]Vocabulary Itemsdisappear (v) = หายไปlead to (v) = นำไปสู่leave (v) = ละทิ้ง ทอดทิ้ง ปล่อยทิ้งsure (adj) = แน่ใจwash away (v) = ชะล้าง กัดกร่อนwild (adj) = ป่าเถื่อน โหดร้าย น่ากลัวwinding (adj) = คดเคี้ยวExpressionsA long, long time agoA pool of tearsCrying for the dayLet me know the way.Lead me to your door.GrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นIt always leads me here.Don't leave me waiting here.Lead me to your door.Present Perfect Tenseปัจจุบันกาลสมบูรณ์ เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ดำเนินติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และอาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้ด้วย เช่นI've seen that road before.The many ways I've tried.Many times I've been alone.And many times I've cried.Simple Future Tenseอนาคตกาลธรรมดา เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นThe road will never disappear.Any way you'll never know.
17 พฤษภาคม 2563     |      2858
The Last Leaf
The Last Leafใบไม้ใบสุดท้ายความหวังสุดท้ายThe Cascadesแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์The last leaf clings to the bough Just one leaf, that's all there is now And my last hope live with that lonely leaf, lonely leaf With the last leaf that clings to the boughใบไม้ใบสุดท้ายติดอยู่กับกิ่งไม้ใบเดียวเท่านั้น ตอนนี้มีเพียงเท่านี้และความหวังสุดท้ายของผมขึ้นอยู่กับใบไม้ที่โดดเดี่ยว เดียวดายนั้นขึ้นอยู่กับใบไม้ใบสุดท้ายที่ติดอยู่กับกิ่งไม้Last summer beneath this tree My love said she'd come back to me Before the leaves of autumn touched the ground, touched the ground My love promised she's be homeward boundฤดูร้อนที่แล้ว ใต้ต้นไม้นี้คู่รักของผมพูดว่า เธอจะกลับมาหาผมก่อนที่ใบไม้ของฤดูใบไม้ร่วงหล่นลงที่พื้น หล่นลงที่พื้นดินคู่รักของผมสัญญาว่า เธอจะกลับมาบ้านThen one by one the leaves began to fall And now that winter's come to callแล้วใบไม้ก็ร่วงลงทีละใบๆและตอนนี้ฤดูหนาวกำลังจะเริ่มต้นThe last leaf that clings to the bough Just one leaf, that's all there is now Will my last hope fall with that lonely leaf, lonely leaf With the last leaf, the last leaf With the last leaf that clings to the bough Bough, bough, bough...ใบไม้ใบสุดท้ายที่ติดอยู่กับกิ่งไม้ใบเดียวเท่านั้น ตอนนี้มีมีเพียงเท่านี้ความหวังสุดท้ายของผมจะหมดไปพร้อมกับใบไม้ที่โดดเดี่ยว เดียวดายนั้นหรือ?พร้อมกับกับใบไม้ใบสุดท้าย ใบไม้ใบสุดท้ายนั้นพร้อมกับกับใบไม้ใบสุดท้ายที่ติดอยู่กับกิ่งไม้กิ่งไม้ กิ่งไม้ กิ่งไม้Vocabulary Itemsautumn (n) = ฤดูใบไม้ร่วงbeneath (prep) = ข้างใต้bough (n) = กิ่งไม้bound (n) = มุ่งสู่ มุ่งหน้าcling (v) = ห้อย เกาะติดอยู่come to call (v) = กำลังจะเริ่มต้นhomeward (prep) = กลับบ้านleaf (n) = ใบไม้live with (v) = ขึ้นอยู่กับlonely leaf (n) = ใบไม้ใบเดียวpromise (v) = สัญญาsummer (n) = ฤดูร้อนwinter (n) = ฤดูหนาว
17 พฤษภาคม 2563     |      1099
The Great Pretender
The Great Pretender (ผู้แสร้งทำที่ยิ่งใหญ่The Plattersแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Oh-oh, yes I'm the great pretender Pretending that I'm doing well My need is such I pretend too much I'm lonely but no one can tellโอ้ ใช่แล้ว ผมเป็นผู้แสร้งทำที่ยิ่งใหญ่แสร้งทำว่าผมสบายดี ไม่มีปัญหาความจำเป็นของผมก็คือผมแสร้งทำมากเกินไปผมรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ไม่มีใครรู้ได้Oh-oh, yes I'm the great pretender Adrift in a world of my own I've played the game but to my real shame You've left me to grieve all aloneโอ้ ใช่แล้ว ผมเป็นผู้แสร้งทำที่ยิ่งใหญ่ผมล่องลอยไปในโลกนี้เพียงลำพังผมได้แสร้งทำมาเช่นนี้เป็นเวลานาน แต่ก็ละอายใจตนเองจริงๆคุณละทิ้งผมไปเสียนานให้เศร้าโศกแต่เพียงลำพัง[1] Too real is this feeling of make-believe (This feeling of make-believe is too real) Too real when I feel what my heart can't conceal,(When I feel what my heart can't conceal is too real)ความรู้สึกที่แสร้งทำนี้มันเหมือนจริงมากเกินไปมันเหมือนจริงมากเกินไปเมื่อผมรู้สึกว่าหัวใจของผมไม่สามารถปิดบังความจริงนี้ได้[2] Yes, I'm the great pretender Just laughin' and gay like a clown I seem to be what I'm not, you see I'm wearing my heart like a crown Pretending that you're still aroundโอ้ ใช่แล้ว ผมเป็นผู้แสร้งทำที่ยิ่งใหญ่เพียงแต่หัวเราะและร่าเริงเหมือนตัวตลกผมดูเหมือนไม่ใช่ตัวผม คุณเห็นไหมผมสวมใส่หัวใจเป็นเหมือนตัวตลกแสร้งทำเป็นว่า คุณยังคงอยู่ใกล้ๆ[1][2]Vocabulary Itemsadrift (v) = ล่องลอยอย่างไร้ทิศทางalone (adv) = อยู่ตามลำพังclown (n) = ตัวตลกในโรงละคร หรือละครสัตว์conceal (v) = ปิดบังgay (adj) = ร่าเริงgrieve (n) = ความโศกเศร้าlonely (adj) = โดดเดี่ยวlonesome (adj) = รู้สึกเหงา เดียวดายmake-believe (v) = สมมุติ แสร้งกระทำpretend (v) = แสร้งทำpretender (n) = ผู้แสร้งทำshame (n) = ความอับอายExpressionsI am alone. ผมอยู่คนเดียวI am lonely. ผมรู้สึกเหงาI am lonesome. ผมรู้สึกหว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยวJust laughing like a clown. เพียงแต่หัวเราะเหมือนตัวตลกI'm wearing my heart like a crown. ผมสวมวิญญาณเป็นเหมือนดั่งตัวตลก GrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลอย่างง่าย เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในขณะที่พูดเป็นปกติวิสัย เช่นMy need is such I pretend too much.I seem to be what I'm not.Present Progressive Tenseปัจจุบันกาลกำลังดำเนินอยู่ เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันในขณะที่พูด เช่นI am wearing my heart like a crown.I am pretending that you're still around.Present Perfect Tenseปัจจุบันกาลสมบูรณ์ เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แล้วยังดำเนินติดต่อกันเรื่อยมาถึงปัจจุบัน เช่นI have played the game but to my real shame.You have left me to grieve all alone.
17 พฤษภาคม 2563     |      4260
The Girl of My Best Friend
The Girl of My Best Friendผู้หญิงของเพื่อนรักของผมElvis Presleyแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์The way she walks, The way she talks How long can I pretend Oh I can't help I'm in love With the girl of my best friendท่าทางที่เธอเดินท่าทางที่เธอพูดผมจะแสร้งทำได้นานขนาดไหนโอ้...ผมอดไม่ได้ที่จะหลงรักผู้หญิงของเพื่อนรักของผมHer lovely hair, Her skin so fair I could go on and never end Oh, I can't help I'm in love With the girl of my best friendเรือนผมที่น่ารักของเธอผิวพรรณที่ขาวผ่องของเธอผมสามารถที่จะพูดไปได้เรื่อยๆอย่างไม่รู้จักจบสิ้นโอ้...ผมอดไม่ได้ที่จะหลงรักผู้หญิงของเพื่อนรักของผมI want to tell her How I love her so And hold her in my arms, but then What if she got real mad and told him so I could never face either one againผมต้องการที่จะบอกเธอว่าผมรักเธอมากอะไรเช่นนี้และอยากกอดเธอไว้ในอ้อมกอด แต่ ต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเธอโกรธจริงๆและบอกเพื่อนผมให้รู้ผมคงไม่กล้าเผชิญหน้าคนใดคนหนึ่งได้อีกThe way they kiss Their happiness Will my ache-in' ever end Or will I always be in love With the girl of my best friend?ท่าทางที่เขาจูบกันความสุขของพวกเขาความเจ็บปวดภายในของผมจะจบสิ้นลงได้ไหมหรือว่า ผมจะยังมีความรักอยู่เสมอเรื่อยไปกับผู้หญิงของเพื่อนรักของผม?Never end, Will it ever end? Please let it end            ไม่มีวันสิ้นสุด            มันจะมีวันสิ้นสุดไหม?            โปรดขอให้มันจบสิ้นเถอะนะVocabulary Itemsache-in (n) = ความเจ็บปวดภายในface (v) = เผชิญหหน้าgo on (v) = ดำเนินต่อไปเรื่อยๆhappiness (n) = ความสุขhold (v) = กอดรัด จับถือไว้ ยึดเหนี่ยวไว้ ถือไว้How I love her so. ผมรักเธอมากอะไรเช่นนี้lovely (adj) = น่ารักnever end (adv) = ไม่มีวันสิ้นสุดPlease let it end. = โปรดขอให้มันจบสิ้นเถอะนะpretend (v) = แสร้งทำskin (n) = ผิวพรรณWhat if she got real mad and told him so? = อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเธอโกรธจริงๆและบอกเพื่อนผมให้รู้
17 พฤษภาคม 2563     |      1376
The End of the World
The End of the WorldกาลอวสานของโลกSkeeter Davisแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Why does the sun go on shining Why does the sea rush to shore Don't they know it's the end of the worldทำไมดวงอาทิตย์ยังคงส่องสว่างอยู่ล่ะ            ทำไมน้ำทะเลจึงยังคงโถมกระทบชายฝั่งอยู่ล่ะ            สิ่งเหล่านี้ไม่รู้เลยหรือว่ามันถึงกาลอวสานของโลกแล้ว'Cause you don't love me any more Why do the birds go on singing Why do the stars glow above Don't they know it's the end of the worldเพราะว่าคุณไม่รักผมต่อไปแล้ว            ทำไมนกยังคงส่งเสียงร้องอยู่ล่ะ            ทำไมดวงดาวยังคงส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าอยู่ล่ะ            สิ่งเหล่านี้ไม่รู้เลยหรือว่ามันถึงกาลอวสานของโลกแล้วIt ended when I lost your love I wake up in the morning and I wonder Why everything's the same as it was I can't understand, no, I can't understand How life goes on the way it doesโลกถึงกาลอวสานเมื่อผมสูญเสียความรักของคุณ            ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าและสงสัยว่า            ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมที่มันเคยเป็น            ผมไม่เข้าใจ ไม่ ผมไม่เข้าใจว่า            ชีวิตยังคงดำเนินไปอย่างที่มันเคยเป็นได้อย่างไรWhy does my heart go on beating Why do these eyes of mine cry Don't they know it's the end of the world             ทำไมหัวใจผมยังคงเต้นอยู่ล่ะ            ทำไมดวงตาของผมมันยังร่ำไห้อยู่ล่ะ            สิ่งเหล่านี้ไม่รู้เลยหรือว่ามันถึงกาลอวสานของโลกแล้วIt ended when you said goodbye Why does my heart go on beating Why do these eyes of mine cry Don't they know it's the end of the worldโลกถึงกาลอวสานเมื่อคุณสั่งลาผม            ทำไมหัวใจผมยังคงเต้นอยู่ล่ะ            ทำไมดวงตาของผมมันยังร่ำไห้อยู่ล่ะ            สิ่งเหล่านี้ไม่รู้เลยหรือว่ามันถึงกาลอวสานของโลกแล้วIt ended when you said goodbyeโลกถึงกาลอวสานเมื่อคุณสั่งลาผมVocabulary Items‘cause = becauseany more (adv) = อีกต่อไปglow (v) = ส่องแสงสว่างgo on (v) = ดำเนินต่อไปgoodbye (n) = การลาจากlose, lost, lost (v) = สูญเสียrush to (v) = ถาโถมเข้ามาshine (v) = ส่องแสงshore (n) = ชายฝั่งทะเลthe end of = การอวสานของunderstand (v) = เข้าใจwake up (v) = ตื่นนอนwonder (v) = สงสัยExpressionsWhy is everything the same as it was? = ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมที่มันเคยเป็นI can't understand. = ฉันไม่เข้าใจGrammar    1. Simple Present Tense (ปัจจุบันกาลอย่างง่าย เพื่อใช้บ่งบอกข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นปกตินิสัยในปัจจุบัน และเมื่อใช้เป็นประโยคคำถาม เช่นWhy does the sun go on shining?Why does the sea rush to shore?Why do the birds go on singing?Why do the stars glow above?Why does my heart go on beating?Why do these eyes of mine cry?Why everything is the same as it was?I can't understand how life goes on the way it does. (Indirect Speech)(How does life go on the way it does? -- Direct Speech)    2.  go on + V+ing เพราะว่า on เป็น preposition = กำลังดำเนินอยู่    3.  Simple Past Tense (อดีตการอย่างง่ายเพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดแล้วในอดีต เช่นIt ended when you said goodbye.
17 พฤษภาคม 2563     |      622
Tennessee Waltz _Patti Page
Tennessee Waltzจังหวะเทนเนสซี่วอลทซ์Patti Pageแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์[1] I was dancin' with my darlin' to the Tennessee Waltz When an old friend I happened to see I introduced her to my loved one And while they were dancin' My friend stole my sweetheart from meฉันกำลังเต้นรำกับคนรักของฉันในเพลงจังหวะเทนเนสซีวอลทซ์            เมื่อบังเอิญที่ฉันได้พบกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง            ฉันแนะนำเพื่อนฉันให้รู้จักกับคนรักของฉัน            และขณะที่คนทั้งคู่กำลังเต้นรำ            เพื่อนของฉันก็ขโมยเอาคนรักของฉันจากฉันไป[2] I remember the night and the Tennessee Waltz Now I know just how much I have lost Yes, I lost my little darlin' the night they were playin' The beautiful Tennessee Waltzฉันจำคืนนั้นและเพลงจังหวะเทนเนสซีวอลทซ์นั้นได้ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันได้สูญเสียสิ่งที่มีค่ามากสิ่งเดียวนั้นไปแล้วใช่แล้ว ฉันสูญเสียคนรักที่น่ารักไปในคืนที่คนในงานบรรเลงเพลงจังหวะเทนเนสซีวอลทซ์ที่ไพเราะ[1][2]Vocabulary Itemshappen to (v) = พบโดยบังเอิญintroduce (v) = แนะนำให้รู้จักกันsweetheart (n) = คนรักdarling (n) = คนรักbeautiful (adj) = ไพเราะsteal/stole/stolen (v) = ขโมยlose /lost/lost (v) = สูญเสียExpressionsMy little darling. = ที่รักของฉันที่น่ารัก/ที่รูปร่างสันทัดI happened to see her. = ฉันพบเธอโดยบังเอิญGrammarSimple Present Tense (ปัจจุบันกาลอย่างง่าย เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในขณะที่พูด เช่นI remember the night and the Tennessee Waltz.Now I know just how much I have lost.Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ เพื่อใช้บ่งบอกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แล้วยังเกิดผลติดต่อกันเรื่อยมาถึงปัจจุบัน เช่นNow I know just how much I have lost. ตอนนี้ผมรู้ว่าผมได้สูญเสียมากมายขนาดไหนThe clover has lost its perfume.ดอกโคลฟเว่อร์หมดกลิ่นแล้วไม่เหลือแม้แต่กลิ่นSimple Past Tense (อดีตกาลอย่างง่าย เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดแล้วในอดีต เช่นWhen an old friend I happened to see.My friend stole my sweetheart from mePast Progressive Tense (อดีตกาลกำลังดำเนินอยู่เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นและดำเนินการอยู่ระยะเวลาหนึ่งในอดีตแต่ได้สิ้นสุดลงแล้ว และบ่งบอกว่าในขณะที่มีเหตุการณ์บางอย่างกำลังดำเนินอยู่ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เช่นI was dancing with my darling to the Tennessee Waltz.While they were dancing, my friend stole my sweetheart from me.
17 พฤษภาคม 2563     |      326
Take Me Home, Country Roads
Take Me Home, Country Roadsจงพาฉันกลับบ้าน เจ้าถนนชนบทเอ๋ยJohn Denverแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Almost heaven, West Virginia, Blue ridge mountain, Shenandoah River, Life is old there, older than the trees, Younger than the mountains, growing like a breezeเกือบเป็นสวรรค์ รัฐเวอร์จิเนียตะวันตกขอบฟ้าทิวเขาสีน้ำเงิน แม่น้ำชี Shenandoahชีวิตที่นั้นมีสภาพดั่งเดิม เก่าแก่กว่ามวลต้นไม้เยาว์วัยกว่าภูเขา เจริญเติบโตดุจดังสายลงโชย (อย่างเชื่องช้า[1] Country roads, take me home To the place I belong, West Virginia, Mountain mamma, take me home Country roadsถนนชนบทเอ๋ย จงพาฉันกลับบ้านไปยังสถานที่ที่ฉันคุ้นเคย (มีส่วนร่วมรัฐเวอร์จิเนียตะวันตกภูเขา โอ้แม่ จงพาฉันกลับบ้านด้วยเจ้าถนนชนบทเอ๋ยAll my memories, gather round her Miner's lady, stranger to blue water [(the sea) West Virginia = เป็นรัฐที่มีเหมืองถ่านหินมาก Dark and dusty, painted on the sky Misty taste of moonshine, teardrops in my eyeความจำทั้งหมดของฉัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่นั่นสุภาพสตรีแห่งเหมือง(ถ่านหินผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับทะเลท้องฟ้าที่มืดดำและมีฝุ่นมากแสงจันทร์สลัว หยาดน้ำตาของดวงตาของฉัน[1][2] I hear her voice in the morning hour she calls me Radio reminds me of my home far away Driving down the road I get a feeling That I should have been home yesterday, yesterdayฉันได้ยินเสียงเธอในตอนเช้า เธอเรียกฉันวิทยุเตือนให้ฉันรู้ว่าบ้านฉันอยู่ห่างไกลมากขับรถไปตามถนน ฉันมีความรู้สึกว่าฉันควรจะถึงบ้านแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้[1][2]Country roads, take me home To the place I belong, West Virginia, Mountain mamma, take me home Country roads Take me home, country roads Take me home, country roadsถนนชนบทเอ๋ย จงพาฉันกลับบ้านไปยังสถานที่ที่ฉันคุ้นเคย (มีส่วนร่วมรัฐเวอร์จิเนียตะวันตกภูเขา โอ้แม่ จงพาฉันกลับบ้านด้วยเจ้าถนนชนบทเอ๋ยจงพาฉันกลับบ้านด้วย เจ้าถนนชนบทเอ๋ยจงพาฉันกลับบ้านด้วย เจ้าถนนชนบทเอ๋ยVocabulary Itemsbelong (v) = มีส่วนร่วม คุ้นเคยblue water (n) = ทะเล มหาสมุทรcountry road (n) = ถนนชนบทdusty (adj) = มีฝุ่นมากfar away (adv) = ห่างไกลมากgrowing like a breeze = เจริญเติบโตดุจดังสายลงโชย อย่างเชื่องช้าheaven (n) = สวรรค์life is old there = ชีวิตที่นั้นมีสภาพดั่งเดิมmemory (n) = ความจำmisty (adj) = แสงสลัวmoonshine (n) = แสงจันทร์older than the trees = เก่าแก่กว่ามวลต้นไม้remind (v) = เตือนความจำridge mountain (n) = ทิวเขาteardrop (n) = หยาดน้ำตาyounger than the mountains = เยาว์วัยกว่าภูเขา
17 พฤษภาคม 2563     |      450
Sunshine on My Shoulder
Sunshine on My Shoulder แสงแดดส่องมาที่หัวไหล่ของผมJohn Denverแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์[1] Sunshine on my shoulders makes me happy Sunshine in my eyes can make me cry Sunshine on the water looks so lovely Sunshine almost always makes me highแสงแดดที่ส่องมาที่หัวไหล่ของผมทำให้ผมมีความสุขแสงแดดที่ส่องมาที่ตาของผมสามารถทำให้ผมร้องไห้ได้แสงแดดที่ส่องไปบนน้ำดูน่ารักมากแสงแดดที่ส่องมาเกือบทั้งหมดทำให้ผมรู้สึกอารมณ์แจ่มใสIf I had a day that I could give you I'd give to you the day just like today If I had a song that I could sing for you I'd sing a song to make you feel this wayถ้าผมมีเวลาที่สามารถให้แก่คุณได้ผมจะให้คุณวันที่มีลักษณะเช่นวันนี้ถ้าผมมีเพลงที่ผมสามารถร้องให้คุณฟังได้ผมก็จะร้องเพลงที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนขณะนี้[1] If I had a tale that I could tell you I'd tell a tale sure to make you smile If I had a wish that I could wish for you I'd make a wish for sunshine for all the whileถ้าผมมีนิทานที่จะเล่าให้คุณฟังได้ผมก็จะเล่านิทานที่แน่ใจว่าจะทำให้คุณยิ้มได้ถ้าผมมีพรที่ผมสามารถขอให้คุณได้ผมก็จะขอพรขอให้มีแสงแดดส่องตลอดไป[1]Vocabulary Itemsall the while = ตลอดไป ตลอดเวลาcry (v) = ร้องไห้happy (adj) = รู้สึกมีความสุขhigh (adj) = รู้สึกอารมณ์แจ่มใสlovely (adj) = น่ารักshoulder (n) = ไหล่sunshine (n) = แสงแดดtale (n) = นิทานwish (v, n) = ขอให้ ปราถนาให้ ขอพรให้ พร
17 พฤษภาคม 2563     |      1631
Sunrise, Sunset (The Fiddle on the Roof)
Sunrise, Sunset (The Fiddle on the Roof) ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตกคนสีไวโอลินบนหลังคาPerry Como แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Sunrise, sunset Sunrise, sunsetดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกIs this the little girl I carried,  Is this the little boy at play? นี่คือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ผมเคยอุ้มใช่ไหม?นี่คือเด็กผู้ชายที่เคยวิ่งเล่นใช่ไหม?I don't remember growing older,  When did they? ผมเองจำไม่ได้ว่าอายุมากขึ้นตอนไหนเด็ก 2 คนนี้โตขึ้นเมื่อไหร่?When did she get to be a beauty,  When did he grow to be so tall? เด็กผู้หญิงนี้สวยขึ้นเมื่อไหร่?เด็กผู้ชายนี่สูงขึ้นมากเมื่อไหร่?Wasn't it yesterday when they were small?มันไม่ใช่เมื่อวานนี้หรือที่คนสองคนนี้ยังเล็กอยู่?Sunrise, sunset Sunrise, sunset Swiftly flow the days.ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกวันหนึ่งๆผ่านไปรวดเร็วมากSeedlings turn overnight to sunflowers,  Blossoming even as we gaze.ต้นกล้ากลายเป็นดอกทานตะวันได้เพียงข้ามคืนออกดอกได้แม้ว่าขณะที่เราจ้องมองดูSunrise, sunset Sunrise, sunset Swiftly fly the years,  One season following another,  Laiden with happiness and tears.ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกปีหนึ่งๆผ่านไปรวดเร็วมากฤดูหนึ่งผ่านไปอีกฤดูหนึ่งก็เข้ามาแทนแบกรับไว้ทั้งความสุขและน้ำตาWhat words of wisdom can I give them, (ข้อคิด คำเตือนสติ คำคม คำสอนให้สติ How can I help to ease their way? ผมจะให้คำเตือนสติคนสองคนนี้ว่าอย่างไรดีผมจะช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้นอย่างไร?Now they must learn from one another,  Day by day.ตอนนี้ พวกเขาต้องเรียนรู้จากกันและกันวันต่อวันThey look so natural together.เขาทั้งคู่ดูเป็นธรรมชาติเมื่ออยู่ด้วยกันJust like two newlyweds should be.เหมือนอย่างเช่นคู่หนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆIs there a canopy in store for me?ร้านค้านั้นมีหลังคาสำหรับฉันหรือเปล่า?Sunrise, sunset,  Sunrise, sunset Swiftly fly the years,  One season following another,  Laden with happiness, and tearsดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตกปีหนึ่งๆผ่านไปรวดเร็วมากฤดูหนึ่งผ่านไปอีกฤดูหนึ่งก็เข้ามาแทนแบกรับไว้ทั้งความสุขและน้ำตาVocabulary Itemsat play = playing กำลังเล่นblossom (v) = ออกดอกcanopy (n) = หลังคาday by day = วันต่อวันflow (v) = ไหลfollow (v) = ติดตามgaze (v) = จ้องมองดูHow can I help to ease their way? = ผมจะช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้นอย่างไร?I don't remember growing older. = ผมเองจำไม่ได้ว่าอายุมากขึ้นตอนไหนladen (adj) = แบกรับภาระlearn from one another = เรียนรู้จากกันและกันnewlywed (n) = คู่หนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆovernight (adv) = เพียงข้ามคืนseason (n) = ฤดูseedling (n) = ต้นกล้าsunflower (n) = ต้นทานตะวันsunrise (n) = ดวงอาทิตย์ขึ้นsunset (n) = ดวงอาทิตย์ตกswiftly (adv) = อย่างรวดเร็วword of wisdom (n) = ข้อคิด คำเตือนสติ คำคม คำสอนให้สติ
17 พฤษภาคม 2563     |      396
ทั้งหมด 42 หน้า