Smoke Gets in Your Eyes
Smoke Gets in Your Eyesควันเข้าตาของคุณThe Platterแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์They asked me how I knew My true love was true I of course replied Something here inside Cannot be deniedพวกเขาถามผมว่า ผมรู้ได้อย่างไรว่าความรักที่แท้จริงของผมนั้นมันจริงผม แน่ละ ตอบว่ามีบางอย่างอยู่ภายในที่นี่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้They, said some day you'll find All who love are blind When your heart's on fire You must realize Smoke gets in your eyesพวกเขาก็พูดว่า สักวันหนึ่งคุณก็จะพบว่าทุกคนที่มีความรักตาบอดเมื่อหัวใจของคุณเร้าร้อนคุณต้องตระหนักว่าควันเข้าตาคุณแล้วSo I chaffed them, and I gaily laughed (แชว พูดเล่นหัว To think they would doubt our love And yet today, my love has gone away I am without my loveดังนั้น ผมจึงพูดเล่นกับพวกเขาและหัวเราะอย่างร่าเริงที่คิดถึงพวกเขาที่สงสัยความรักของเราและ แต่ว่าวันนี้ ความรักของผมได้จากไปแล้วผมไม่มีคนรักอีกแล้วNow laughing friends deride Tears I cannot hide So I smile and say When a lovely flame dies Smoke gets in your eyesตอนนี้ เพื่อนฝูงหัวเราะเยาะเย้ยผมไม่สามารถซ่อนน้ำตาได้ดังนั้น ผมจึงยิ้มและพูดว่าเมื่อเปลวไปที่น่ารักดับลงควันก็เข้าตาของคุณSmoke gets in your eyesควันก็เข้าตาของคุณVocabulary Itemschaff (v) = พูดเล่น พูดแชวdeny (v) = ปฏิเสธderide (v) = หัวเราะเยาะflame (n) = เปลวไฟgaily (adv) = อย่างร่าเริงแจ่มใสhide (v) = ซ่อนเร้นrealize (v) = ตระหนักรู้ExpressionsAll who love are blind. = ทุกคนที่มีคสามรักตาบอดWhen your heart's on fire, smoke gets in your eyes. = เมื่อหัวใจของคุณมีไฟ ควันก็เข้าตาของคุณWhen a lovely flame dies, smoke gets in your eyes. = เมื่อเปลวไปที่น่ารักดับลง ควันก็เข้าตาของคุณGrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นI am without my love.Smoke gets in your eyesSimple Past Tenseอดีตกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้นแล้วและสิ้นสุดแล้วในอดีตในขณะที่พูด เช่นThey said.I chaffed them.I gaily laughed Simple Future Tense (อนาคตกาลธรรมดา เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นSome day you will find.การกล่าวเปรียบเทียบ (Comparison)การพูดเปรียบเทียบในคำประพันธ์มี 2 ลักษณะคือ Simile (อุปมา)และ Metaphor (อุปลักษณ์)ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก คือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกันแต่มีข้อแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือก. Simile (อุปมา)จะใช้คำว่า Like หรือ As ที่แปลว่า ราวกับว่า ดุจดั่งว่า ประดุจดั่งว่า เหมือนตัวอย่าง SimileLike a river it will flow.                 ดุจดั่งแม่น้ำ มันจะไหล My love is like a red, red rose.       รักของฉันเป็นดั่งกุหลาบแดงข. Metaphor (อุปลักษณ์)ไม่มีคำใช้โดยเฉพาะแต่จะเปรียบโดยตรงระหว่างสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบตัวอย่าง MetaphoAll who love are blind.    คนทั้งหลายที่มีความรักจะตาบอด
17 พฤษภาคม 2563     |      1127
Solitaire
Solitaireการเล่นไพ่คนเดียว Karen Carpentersแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์There was a man A lonely man Who lost his love Through his indifferenceมีผู้ชายคนหนึ่งเป็นผู้ชายที่อยู่โดดเดี่ยวเป็นคนที่สูญเสียคนรักไปเนื่องจากความไม่ยินดียินร้ายของเขาA heart that cared That went unshared Until it died Within his silenceหัวใจที่ใยดีที่ดำเนินไปโดยไม่มีส่วนร่วมจนกระทั่งมันตายไปกับความเงียบของเขา[1] And solitaire’s the only game in town And every road that takes him Takes him down And by himself it's easy to pretend He'll never love againและการเล่นไพ่คนเดียวเป็นเกมส์การเล่นเพียงอย่างเดียวในเมืองและถนนทุกสายที่นำพาเขาไปก็พาเขาไปที่นี่และโดยตัวเขาเองเป็นการง่ายที่จะแสร้งทำว่าเขาจะไม่มีความรักใหม่อีก[2] And keeping to himself he plays the game Without her love It always ends the same While life goes on around him everywhere He's playing solitaireและเขายังเล่นเกมส์นั้นอย่างลับๆโดยไม่มีความรักจากเธอผลของการเล่นจบลงเหมือนเดิมเสมอขณะที่ชีวิตยังคงดำเนินไปรอบๆตัวเขาทุกแห่งหนเขากำลังเล่นไพ่เพียงคนเดียวA little hope Goes up in smoke Just how it goes Goes without sayingมีความหวังเพียงเล็กน้อยที่ล่องลอยไปกับควันมันเกิดขึ้นเช่นนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้พูดถึงเลยThere was a man A lonely man Who would command The hand he's playingมีผู้ชายคนหนึ่งเป็นผู้ชายที่อยู่โดดเดี่ยวเป็นคนที่จะควบคุมมือของเขาที่กำลังเล่นไพ่อยู่[1][2][1]Vocabulary Itemscare (v) = สนใจใยดีcommand (v) = สั่งการ ควบคุมgo on (v) = ดำเนินต่อไปindifference (n) = ความไม่ยินดียินร้ายIt always ends the same. = การเล่นจบลงเหมือนเดิมเสมอlonely (adj) = อยู่โดดเดี่ยวlose, lost, lost (v) = สูญเสียpretend (v) = แสร้งทำsilence (n) = ความเงียบเหงาsolitaire (n) = การเล่นไพ่คนเดียวunshare (v) = ไม่มีส่วนร่วม
17 พฤษภาคม 2563     |      941
Silver Threads and Golden Needles
Silver Threads and Golden Needlesด้ายเงินและเข็มทอง Linda Ronstadtแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์I don't want your lonely mansion with a tear in every room All I want's the love you promised beneath the haloed moon But you think I should be happy with your money and your name And hide myself in sorrow while you play your cheating gameฉันไม่ต้องการคฤหาสน์ที่เงียบเหงาพร้อมด้วยหยาดน้ำตาในทุกห้องของคุณ สิ่งที่ฉันต้องการทั้งหมดคือความรักที่คุณสัญญาไว้ใต้ดวงจันทร์ทรงกรด แต่คุณคิดว่าฉันควรจะมีความสุขกับเงินและชื่อเสียงของคุณ และซ่อนตัวเองอยู่ในความเศร้าโศกในขณะที่คุณเล่นเกมหลอกลวงของคุณ[1] Silver threads and golden needles cannot mend this heart of mine And I dare not drown my sorrows in the warm glow of your wine You can't buy my love with money ‘cause I never was that kind Silver threads and golden needles cannot mend this heart of mineด้ายเงินและเข็มทองไม่สามารถปะชุนหัวใจนี้ของฉันได้ และฉันไม่กล้าที่จะกลบเกลื่อนความเศร้าโศกของฉันในประกายที่อบอุ่นของไวน์ของคุณได้ คุณไม่สามารถซื้อความรักของฉันด้วยเงินได้เพราะฉันไม่เคยเป็นคนเช่นนั้น ด้ายเงินและเข็มทองไม่สามารถปะชุนหัวใจนี้ของฉันได้[1]Silver threads and golden needles cannot mend this heart of mineด้ายเงินและเข็มทองไม่สามารถปะชุนหัวใจนี้ของฉันได้Vocabulary itemsbeneath (prep) = ข้างใต้ cheat (v) = หลอกลวงdare (v) = กล้าdrown (v) = กลบเกลื่อนglow (n) = ประกายhaloed moon (n) = ดวงจันทร์ทรงกรดhide (v) = หลบซ่อน ซ่อนเร้นI never was that kind. = ฉันไม่เคยเป็นคนเช่นนั้นlonely (adj) = เงียบเหงาmansion (n) = คฤหาสน์promise (v) = สัญญาSilver threads and golden needles cannot mend this heart of mine. = ด้ายเงินและเข็มทองไม่สามารถปะชุนหัวใจนี้ของฉันได้ เงินทองไม่สามารถชดเชยหัวใจที่แตกสลายได้sorrow (n) = ความเศร้าโศกtear (n) = น้ำตา
17 พฤษภาคม 2563     |      1085
Silver Bells
Silver Bells (ระฆังเงินAndy Williamsแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์[1] Silver bells, silver bells It's Christmas time in the city Ring-a-ling, hear them ring Soon it will be Christmas dayระฆังเงิน ระฆังเงิน            มันถึงเวลาเทศกาลคริสต์มาสในเมืองแล้ว            กรุ่งกริ้งๆ ฟังเสียงมันดังซิ            ในไม่เช้าก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้วCity sidewalks, busy sidewalks dressed in holiday style In the air there's a feeling of Christmas Children laughing, people passing, meeting smile after smile And on every street corner you'll hearทางเดินเท้าในเมือง ทางเดินจะพลุกพล่านและประดับประดาในรูปแบบงานเทศกาล            ในอากาศจะมีบรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาส            เสียงเด็กๆหัวเราะ คนเดินผ่านไปมา พบปะกันและยิ้มให้กันและกัน            และบนหัวมุมถนนทุกสายคุณจะได้ยินเสียง[1]Strings of streetlights, even stoplights blink of bright red and green (Silver bells, silver bells) As the shoppers rush home with their treasures (It's Christmas time in the city)            เส้นเชือกที่ผูกติดไฟฟ้าบนถนน แม้แต่ไฟจราจรก็กระพริบสีแดงและเขียวที่สดใสระฆังเงิน ระฆังเงินขณะที่คนซื้อของรีบเร่งกลับบ้านพร้อมข้าวของมันถึงเวลาเทศกาลคริสต์มาสในเมืองแล้วChildren laughing, people passing meeting smile after smile (Ring-a-ling, hear them ring) And above all this bustle (haste, being busy,  doing things in a hurried and busy way:) you'll hear (Soon it will be Christmas day)            เสียงเด็กๆหัวเราะ คนเดินผ่านไปมา พบปะกันและยิ้มให้กันและกันกรุ่งกริ้งๆ ฟังเสียงมันดังซิและนอกเหนือจากความวุ่นวายและรีบเร่งนี้ คุณจะได้ยินว่าในไม่เช้าก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว[1]Vocabulary itemsand above all = และนอกเหนือจากนี้bell (n) = กระดิ่ง ระฆังblink (v) = กระพริบbright green = สีเขียวสดbright red = สีแดงสดbustle (n) = ความสับสนวุ่นวายbusy (adj) = ยุ่ง พลุกพล่านChristmas time = ช่วงเทศกาลคริสต์มาสholiday (n) = เทศกาลring (v) = สั่น ส่งเสียงดังring-a-ling = เสียงกระดิ่งrush home (v) = รีบเร่งกลับบ้านshopper (n) = คนจับจ่ายซื้อของsidewalk (n) = ทางเท้า บาทวิถีsilver (n) = เงิน เป็นสีเงินsoon (adv) = ในไม่ช้าstoplights (n) = ไฟจราจรstreet corner (n) = มุมถนนstrings of streetlights (n) = สายเชือกที่มีโคมไฟห้อยติดต่อกันไปตามถนนtreasure (n) = ทรัพย์สมบัติ ข้าวของ
17 พฤษภาคม 2563     |      199
Silence Is Golden
Silence Is Golden [การนิ่งเงียบไว้เป็นเหมือนทองนิ่งไว้ตำลึงทองTremeloseแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Oh, don't it hurt deep inside To see someone do something' to her? Oh, don't it pain to see someone cry? Oh, and especially when someone is her.โอ้...มันไม่เจ็บปวดภายในหรือ            ที่เห็นคนบางคนทำอะไรบางอย่างกับเธอ?            โอ้...มันไม่ปวดร้าวหรือที่เห็นคนบางคนร้องไห้?            โอ้...และโดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นคือตัวเธอเอง[1] Silence is golden But my eyes still see. Silence is golden, golden; But my eyes still see,เงียบไว้เป็นเหมือนทองแต่ดวงตาของผมยังคงเห็นเงียบไว้เป็นเหมือนทอง เหมือนทองแต่ดวงตาของผมยังคงเห็นTalkin' is cheap, people follow like sheep Even though there is nowhere to go. How could she tell? He deceived her so well. Pity she'll be the last one to know.การพูดมีราคาถูก ใครๆก็ทำตามได้เหมือนดังฝูงแกะที่เดินตามกัน            แม้ว่า ไม่รู้ว่าจะเดินไปทิศทางใด            เธอจะบอกได้อย่างไร? เขาหลอกลวงเธอได้แนบเนียนมาก            น่าสงสารนะที่เธอจะคือคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้[1]How many times did she fall for his lies? Should I tell her, or should I keep cool? And if I tried, I know she'll say I lied Mind your business, don't hurt her, you fool.กี่ครั้งแล้วที่เธอหลงเชื่อคำโกหกของเขา            ผมควรจะบอกเธอ หรือว่าผมควรจะนิ่งเงียบเฉย?            และถ้าผมบอกเธอ ผมรู้ว่าเธอจะพูดว่าผมพูดโกหก            สนใจแต่เรื่องของตัวเราเถอะ อย่าทำให้เธอเจ็บปวดเลยนะ เจ้าคนโง่[1]But my eyes' still see. But my eyes' still see.แต่ดวงตาของผมยังคงเห็นแต่ดวงตาของผมยังคงเห็นVocabulary Itemsdeceive (v) = หลอกลวงdeep inside = ลึกเข้าไปข้างในespecially (adv) = โดยเฉพาะอย่างยิ่งfall for (v) = หลงเชื่อfool (n) = คนโง่ คนเขลาgolden (adj) = ทำด้วยทองคำhurt (v) = ทำให้เจ็บปวดlie (v, n) = โกหก การโกหกMind your business. = จงสนใจแต่เรื่องของตนเอง อย่าแส่เรื่องของชาวบ้านpeople follow like sheep = ใครๆก็ทำได้Should I keep cool? = ผมควรจะนิ่งเงียบเฉยไหม?silence (n) = ความเงียบSilence Is Golden = การนิ่งเงียบไว้เป็นเหมือนทอง นิ่งไว้ตำลึงทองTalking is cheap = การพูดนะทำได้ง่ายthe last one to know = คนสุดท้ายที่รู้เรื่อง
17 พฤษภาคม 2563     |      187
Send Me The Pillow You Dream on
Send Me The Pillow You Dream on จงส่งหมอนที่คุณหนุนนอนฝันให้ผมJohnny Tillotsonแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Send me the pillow that you dream on Don't you know that I still care for you? Send me the pillow that you dream on So darling, I can dream on it tooจงส่งหมอนที่คุณหนุนนอนฝันให้ผม            คุณไม่รู้หรือว่าผมยังคงห่วงใยคุณอยู่?จงส่งหมอนที่คุณหนุนนอนฝันให้ผม            เพื่อว่า ที่รัก ผมจะสามารถฝันได้ด้วยเมื่อนอนหนุนหมอนนั้นEach night while I'm sleeping oh so lonely I'll share your love in dreams that once were true Send me the pillow that you dream on So darling, I can dream on it too            แต่ละคืน ขณะที่ผมกำลังนอน โอ้..มันช่างเปล่าเปลี่ยวผมจะขอมีส่วนร่วมในความรักของคุณในฝันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจริงจงส่งหมอนที่คุณหนุนนอนฝันให้ผม            เพื่อว่า ที่รัก ผมจะสามารถฝันได้ด้วยเมื่อนอนหนุนหมอนนั้นSend me the pillow that you dream on Maybe time will let our dreams come true Send me the pillow that you dream on So darling, I can dream on it tooจงส่งหมอนที่คุณหนุนนอนฝันให้ผมอาจเป็นไปได้ว่าเวลาจะทำให้ความฝันของเราเป็นจริงจงส่งหมอนที่คุณหนุนนอนฝันให้ผม            เพื่อว่า ที่รัก ผมจะสามารถฝันได้ด้วยเมื่อนอนหนุนหมอนนั้นI've waited so long for you to write me But just a memory's all that's left of you Send me the pillow that you dream onผมได้รอคอยมาแสนนานเพื่อให้คุณเขียนจดหมายถึงผม            แต่ความทรงจำเท่านั้นที่ยังคงมีคุณเหลืออยู่            จงส่งหมอนที่คุณหนุนนอนฝันให้ผมเถิดVocabulary Itemscare for (v) = สนใจใยดีdarling (n) = ที่รักdreams come true = ความฝันเป็นจริงlonely (adj) = รู้สึกโดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยวใจonce (adv) = ครั้งหนึ่งpillow (n) = หมอนso long (adj) = เป็นเวลานานมากGrammarPositive agreementI can dream on it tooI can dream on it as wellI can dream on it also.(Also), I (also) can (also) dream on it (also).Negative agreementI cannot dream on it too.I cannot dream on it either.Present Perfect Tense ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แต่ไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอน และมีผลติดต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งอาจมีผลต่อไปในอนาคตได้ด้วย เช่นI've waited so long for you to write me. = ผมได้รอคอยมาเป็นเวลานานแล้วที่ให้คุณเขียนจดหมายถึงผม   4. Maybe (adv) = possibly, not sure อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่แน่นอนMaybe no one will come to the party.A: Would you like to have chicken curry for dinner?B: Maybe.A: You don’t sound very enthusiastic.B: I just can’t think about dinner right now. I’ve just had breakfast.  5. May be = possibly, not sure (may is a modal verb and be is a main verb)He may be waiting for us.This may be the last match that he plays for Barcelona.After may be we usually have an adjective, a noun or a verb (in ING form)He may be crazy. (may be + adjective)He may be a genius. (may be + article + noun)He may be trying too hard. (may be + verb ING form)
17 พฤษภาคม 2563     |      718
Blue Day
Blue Day วันรันทด - อาทิตย์อับแสง Music: H.M.K. Bhumibol Adulyadej Lyric: H.H. Prince Chakrabandh Pensiriแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Blue Day There 's no sunshine. Why must you go away, Leaving me here alone?วันรันทด            ไม่มีแสงแดด            ทำไมคุณต้องจากไปด้วยทิ้งให้ฉันอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยว?My own. How I miss you With loving heart so true! That's why I feel so blue.            ตามลำพัง            ฉันคิดถึงคุณมาก            ด้วยหัวใจที่รักอย่างแท้จริง            นั่นคือเหตุผลที่ฉันรู้สึกรันทดมากDear one, What's the good of Days without the sun, Or peaceful nights Without the moon?            ที่รัก            กลางวันจะดีได้อย่างไร            หากไม่มีดวงอาทิตย์?            หรือกลางคืนจะเงียบสงบได้อย่างไร            หากว่าไม่มีดวงจันทร์?But soon No more blue day. Whenever I meet you Then all my dreams come true.            แต่ว่าในไม่ช้า            จะไม่มีวันรันทดอีกแล้ว            เมื่อใดก็ตามที่ฉันพบคุณ            แล้วความฝันทั้งหมดของฉันจะเป็นจริงBlue day Gloomy blue day, When you are far away, Why must we be apart?วันรันทดวันรันทดที่มืดมน            เมื่อคุณอยู่ห่างไกล            ทำไมเราต้องอยู่แยกจากกัน?Sweetheart, Dear, I love you With all my heart, I do That's why I feel so blue.            สุดที่รัก            ที่รัก ฉันรักคุณ            ฉันรักคุณจริงๆ ด้วยสุดหัวใจของฉัน            นั่นคือเหตุผลที่ฉันรู้สึกรันทดมากMy love, Skies are so grey, Cloudy up above, Dear won't you please Come back to me?ที่รักของฉัน            ท้องฟ้าเป็นสีเทามาก            เมฆอยู่เบื้องบนมืดครึ้ม            ที่รัก โปรดเถิด คุณจะไม่            กลับมาหาฉันหรือ?There'll be No more blue day. Again the sun will shine. That day I'll make you mine.จะไม่มี            วันรันทดอีกต่อไปอีก            แล้วดวงอาทิตย์จะส่องแสง            วันที่ฉันจะทำให้คุณเป็นของฉันVocabulary Itemsalone (adv) = อย่างโดดเดี่ยวapart (adv) = แยกออกจากกัน ห่างออกไปblue (adj) = โศกเศร้า รันทดcloudy (adj) = มีเมฆมาก เต็มไปด้วยก้อนเมฆdream (n) = ความฝันfar away (adj, adv) = ห่างไกลgloomy (adj) = มืดมนgrey (n) = สีเทาleave (v) = ละทิ้งmine (pro) = ของผม ของฉันmiss (v) = คิดถึงpeaceful (adj) = เงียบสงบ สันติสุขsky (n) = ท้องฟ้าsunshine (n) = แสงแดดsweetheart (n) = สุดที่รัก
16 พฤษภาคม 2563     |      656
Old Fashioned Melody
Old Fashioned Melody (เตือนใจ ทำนองเพลงเดิมพระราชนิพนธ์ทำนองและคำร้องโดยพระเจ้าอยู่หัว ร.9ขับร้องโดย รัดเกล้า อามระดิษแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Let me tell you how I miss The thrill of your sweet little kiss; Let me tell you with this Old Fashioned melody.            ขอให้ฉันบอกคุณนะว่าฉันคิดถึงคุณมากเพียงใดจาก            ความตื่นเต้นเร้าใจของการจูบเพียงเล็กน้อยที่หวานชื่นของคุณ            ขอให้ฉันได้บอกคุณด้วย            ทำนองเพลงเดิมนี้เถอะนะLet me tell you how I sigh Far all the joys of days gone by; Let me tell you with this Old Fashioned melody.            ขอให้ฉันบอกคุณนะว่าฉันเศร้าโศกมากเพียงใดที่            ห่างไกลจากความหรรษาของวันเวลาที่ผ่านไป            ขอให้ฉันได้บอกคุณด้วย            ทำนองเพลงเดิมนี้เถอะนะWe used to go side by side On our own way all along, With nothing real to decide, Nothing was wrong.            เราเคยเดินเคียงข้างซึ่งกันและกัน            บนเส้นทางของเราเองตามลำพัง            ไม่มีอะไรจริงจังที่ต้องตัดสินใจ            ไม่มีอะไรที่ผิดNow there's no word that can say, I can't tell you in anyway. Let me tell you with this Old Fashioned melody.            ขณะนี้ไม่มีถ้อยคำใดที่สามารถพูดได้            ฉันไม่สามารถบอกคุณด้วยวิธีใดได้เลย            ขอให้ฉันได้บอกคุณด้วย            ทำนองเพลงเดิมนี้เถอะนะVocabulary Itemsanyway (adv) = อย่างไรก็ตามdecide (v) = ตัดสินใจjoy (n) = ความหรรษาlet me = ขออนุญาตให้ผม ขอให้ผมmelody (n) = ทำนองเพลงmiss (v) = คิดถึงold fashioned (adj) = แบบเดิม แบบเก่า อย่างเดิมside by side = เคียงข้างกันsigh (v) = ถอนหายใจ แสดงอาการเศร้าหรือมีทุกข์thrill (n) = ความตื่นเต้นเร้าใจ ความตื่นเต้นหวาดเสียวused to (v) = เคยwrong (adj) = ผิดพลาด ผิด ไม่ถูกต้องเตือนใจพระราชนิพนธ์โดยพระเจ้าอยู่หัว ร.9ประพันธ์เนื้อร้องโดย ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์เสียงเพลงเพราะเพลินพาเคลิ้มไป ให้อารมณ์หวั่นไหวแรงรักเธอ คิดตรึงซึ้งไว้ใจละเมอ รักเธอดั่งเพลงเดือนเสียงเพลงนี้พาเราฝันไป ก่อนเคยสุขสดใสในแสงเดือน คิดซึ้งตรึงไว้ใจฝันเตือน มิเลือนและลืมเธอต่างเคยหยอกเย้าพะเน้าคลอ ต่างคนต่างพ้อเพียงละเมอ สบสุขความทุกข์คลายเพราะเธอ ต่านปรนเปรอใจเสียงเพลงนี้พาเราภิรมย์ ต่างชมเชยชิดสองครองใจ เสียงเพลงนี้ซึ้งตรึงฤทัย นึกไปชื่นใจเอยเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓๘ ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองและคำร้องภาษาอังกฤษใน พ.ศ. ๒๕๐๘ ต่อมาใน พ.ศ๒๕๑๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ ประพันธ์ คำร้องภาษาไทยถวาย
16 พฤษภาคม 2563     |      237
Can't You Ever See
Can’t You Ever See (คุณไม่เคยเห็นหรือ ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช นิพนธ์คำร้องโดย: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริขับร้องโดย (ผู้ใดไม่สามารถทราบได้แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Can’t you ever see That I love you eternally? All my heart and my soul From now forever will belong to you.            คุณไม่เคยเห็นไหมหรือ            ว่าผมรักคุณชั่วนิจนิรันดร์            หมดหัวใจและวิญญาณของผม            ตั้งแต่บัดนี้จวบจนนิรันดร์ผมจะเป็นของคุณCan’t you ever see Lovingly your I’ll always be? All my thoughts and my dreams, My whole life is just meant for you.            คุณไม่เคยเห็นไหมหรือว่า            ผมจะเป็นคนรักของคุณตลอดไป?            ความคิดและความฝันทั้งหลายของผม และ            ชีวิตของผมทั้งหมดมีความหมายสำหรับคุณเท่านั้นHow can I make you see I love you alone? I never could have you for my own I love you, love only you, Forever and ever I’m yours it’s true.            ผมสามารถทำให้คุณเห็นว่าผมรักคุณคนเดียวได้อย่างไร?            ผมคงไม่เคยได้คุณมาเป็นของผมเลย            ผมรักคุณ รักแต่เพียงคุณ            ตลอดไป และจะเป็นของคุณเสมอ มันเป็นความจริงLife is meaningless I’d never find my happiness, Without you I would die Can’t you see? I love only you.ชีวิตไม่มีความหมายเลยผมจะไม่เคยพบกับความสุขเลยหากไม่มีคุณ ผมคงตายคุณไม่เห็นหรือ? ผมรักแต่เพียงคุณเท่านั้นVocabulary Itemsalone(adv) = เพียงเท่นั้นbelong (v) = เป็นสมบัติของeternally (adv) = ชั่วนิจนิรันดร์forever (adv) = ตลอดไปlife (n) = ชีวิตlovingly (adv) = ด้วยความรัก ด้วยความห่วงใยmeaningless(adj) = ไม่มีความหมายsoul(n) = วิญญาณ จิตใจthought(n) = ความคิดwhole (adj) = ทั้งหมด ทั้งมวลเพลงพระราชนิพนธ์อันดับที่ ๒๒ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๔๙๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาอังกฤษ แล้วพระราชทานให้นำออกบรรเลงในงานรื่นเริง ประจำปีของสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ เวทีลีลาศสวนลุมพินี เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ๒๔๙๘ เพลงพระราชนิพนธ์ นี้ไม่มีคำร้องภาษาไทย
16 พฤษภาคม 2563     |      247
Still on My Mind
Still on My Mindในดวงใจนิรันดร์ยังคงอยู่ในใจผมเพลงพระราชนิพนธ์ ร. 9ขับร้องโดย สุดเขต จึงเจริญแปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์I can't get you off my mind, However I try. The flame kindled in my heart= ปลุก กระตุ้นความรู้สึก Keeps burning high.            ผมไม่สามารถหยุดคิดถึงคุณได้            อย่างไรก็ตาม ผมพยายามเปลวไฟยังครุกกรุ่นอยู่ในหัวใจผม            เผาไหม้รุนแรงตลอดเวลาThough time has the power to quell,= to calm down, to suppress, to put an end (by force) It really cannot dispel. = to remove fear, doubt The magic touch of your hand, So gentle in mine.แม้ว่าเวลามีพลังให้สงบเงียบได้มันก็ไม่สามารถทำให้หายไปได้การสัมผัสที่มหัศจรรย์ของมือคุณที่แสนนุ่มนวลในมือของผมWhen night's curtain starts to fall And light fades away, My thoughts fly back to that day You were so near.            เมื่อม่านราตรีเริ่มโรยตัวลงมา            และแสงสว่างลับหายไป            ความคิดของผมหวลกลับไปยังวันนั้น            ที่คุณอยู่เคียงข้างใกล้ชิดThis song will never, never end And time we cannot suspend. You'll be ever and ever Still on my mind.เพลงนี้จะไม่มีวันจบลงได้เลยและเวลาที่เราไม่สามารถฉุดดึงไว้ได้คุณจะยังคงอยู่ตลอดชั่วนิรันดรในใจของผมVocabulary Itemsdispel(v) = กำจัดความกลัว หรือความสงสัยออกไป นำออกไปfade away= จางหายไปflame (n) = เปลวไฟ ความร้อนรุ่ม ความต้องการfly back = บินกลับ หวลกลับgentle (adj) = อ่อนนุ่ม อ่อนละไม นุ่มนวลget off (v) = สลัดทิ้ง นำออกไปkeeps burning high= ไหม้ลุกโชนkindle(v) = ครุกกรุ่น ปลุก กระตุ้นความรู้สึกmagic (adj) = มหัศจรรย์ วิเศษnight's curtain = ม่านราตรี กลางคืนquell(v) = ทำให้สงบลง กำจัด ปราบด้วยกำลังstart to fall= เริ่มปกคลุม เริ่มมืดsuspend(v) = ยืดเยื้อ ทำให้เนิ่นนานต่อไปtouch (v,n) = สัมผัส การสัมผัสtry(v) = พยายามในดวงใจนิรันดร์ประพันธ์คำร้องโดย ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นครอยากลืมลืมรักลืมมิลง กลับพะวงหลงเพ้อเงา เปรียบปานเพลิงรักรุมสุมเศร้า เปลี่ยวเปล่าร้าวรอนแต่เพียงกาลเวลาอันหมุนเวียน ฤาอาจผลัดเปลี่ยนเบียนรักคลอน รสรักจากกรกอดสวมกร ยังถาวรติดเตือนเมื่อยามอาทิตย์ลอยคล้อยต่ำ ย่ำยามท้องฟ้าเลือน ยังหวังเชยชิดกันฉันเพื่อน ติดเตือนตรึงใจสุดประพันธ์บรรเลงให้ครบครัน วันอาจจะผ่านเวียนผันไป รักนั้นจะเนาแน่นแฟ้นใน ดวงใจนิรันดร์เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓๗ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ คำร้องภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เองเป็นเพลงแรก ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ประพันธ์คำร้องภาษาไทยถวายอ้างอิงhttps://www.siamzone.com/music/thailyric/12056
16 พฤษภาคม 2563     |      218
Love in Spring
Love in Spring ความรักในฤดูใบไม้ผลิ Music: H.M.K. Bhumibol Adulyadej Lyric: H.H. Prince Chakrabandh Pensiriขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Love in spring sets my heart aflame, Burning as embers glow. Everytime when I hear your name, Then my burning tears begin to flow. There'll come a day ความรักในฤดูใบไม้ผลิทำให้หัวใจของผมมีไฟ            สุมไหม้ดั่งแท่งอำพันที่ลุกโชน            ทุกครั้งที่ผมได้ยินชื่อของคุณ            แล้วน้ำตาที่กำลังเดือดก็เริ่มไหล            สักวันหนึ่งคงจะมาถึงWhen skies will be so blue. May be you'll say You are in love with me too. I'll find joy then in everything, For I find my love in springเมื่อท้องฟ้าจะเป็นสีน้ำเงิน            คุณอาจจะพูดว่า            คุณก็หลงรักฉันด้วยเหมือนกัน            ผมก็จะพบความหรรษาในทุกๆสิ่ง            เนื่องจากผมพบความรักของผมในฤดูใบไม้ผลิI am longing for love in spring When the days are so fair. What supreme happiness it'll bring. All the red roses bloom everywhere. Birds in the trees ผมกำลังถวิลหาความรักในฤดูใบไม้ผลิ            เมื่อวันเวลามันน่ารื่นรมย์มาก            มันจะนำความสุขล้นมาให้ได้มากอะไรเช่นนั้น            กุหลาบสีแดงทั้งหมดจะออกดอกทุกหนทุกแห่ง            หมู่นกอยู่บนต้นไม้Will sing a lovely tune. And in the breeze We'll watch the bright lovely moon. I'll find joy then in everything, for I find my love in spring.จะส่งเสียงร้องด้วยเสียงที่น่ารัก            และในสายลมโชยเย็นๆ            เราจะเห็นแสงจันทร์สว่างที่น่ารัก            ตอนนั้นผมจะพบกับความหรรษาในทุกๆสิ่ง            เนื่องจากผมพบความรักของผมในฤดูใบไม้ผลิVocabulary Itemsaflame (adj, adv) = สว่าง ลุกไปไฟ bloom (v) = ออกดอกblue (n, adj) = สีน้ำเงิน เป็นสีน้ำเงินbreeze (n) = สายลมโชยเย็นๆember (n) = แท่งอำพันflow (v) = ไหล ย้อยglow (v) = .ลุกโชนhappiness (n) = ความสุขjoy (n) = ความหรรษาlong (v) = ถวิลหาlovely (adj) = น่ารักrose (n) = ดอกกุหลาบspring (n) = ฤดูใบไม้ผลิsupreme (adj) = สูงสุดtune (n) = เสียงดนตรี
16 พฤษภาคม 2563     |      279
Lovelight in My Heart
Lovelight in My Heartแก้วตาขวัญใจ ประกายรักในหัวใจผมเพลงพระราชนิพนธ์ของ ร.9นิพนธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า จักรพันธ์เพ็ญศิริขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตแปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์Oh, darling mine, I'm so in love with you. Since first we met long, long ago.  I wonder if you love me too?  My lonely, loving heart's bleeding so, โอ้...ที่รักของผม ผมรักคุณมาก            นับตั้งแต่เราพบกันเป็นครั้งแรก ซึ่งนานมากมาแล้ว            ผมสงสัยว่าคุณรักผมด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?            หัวใจใฝ่รักที่โดดเดี่ยวของผมกำลังระทมทุกข์ (กำลังเลือดไหลซึมMy whole life now depends on you, my love.  You're sent from heaven up above.  Just to fill empty heart With a thrill from the start.  At first sight, lovelight burns in my heart.             ชีวิตของผมทั้งหมดในขณะนี้ขึ้นอยู่กับคุณ            คุณถูกส่งมาจากสวรรค์เบื้องบน            เพียงเพื่อเติมหัวใจที่ว่างเปล่าของผมให้เต็ม            ด้วยความสุขหรรษานับตั้งแต่เริ่มต้น            ตั้งแต่แรกพบ ประกายแห่งรักลุกไหม้อยู่ในหัวใจผม[1] Fate brings me life anew,  When I meet you,  Love at first sight,  With flaming light Burns in my heart.  In reaching for you, love,  You're high above,  Like stars afar It seems we are apart.             ชะตาชีวิตนำชีวิตใหม่มาสู่ผม            เมื่อผมพบคุณ            ความรักแรกพบ            พร้อมกับแสงสว่างที่ลุกโชน            ลุกไหม้อยู่ในใจผม            ในการไขว่คว้าหาคุณ ที่รัก            คุณอยู่สูงมาก            เหมือนดั่งดวงดาวที่แสนไกล            มันดูเหมือนว่า เราอยู่ห่างจากกัน[2] So beats my heart with such a love so true,  My heart, my soul belong to you.  You alone, mean to me,  You're my own destiny.  At first sight, lovelight keeps burning me.             ด้วยความรักที่แท้จริงเช่นนั้นทำให้หัวใจผมเต้นแรง            ที่รัก หัวใจของผมเป็นของคุณ            คุณเท่านั้นที่มีความหมายสำหรับผม            คุณคือโชคชะตาทั้งหมดของผม            ตั้งแต่แรกพบ ประกายแห่งรักเผาไหม้ผมอยู่ตลอดเวลาIf you love me as much as I love you,  The whole world, dear, will be so fair,  The sky will be so clear, so blue And there'll be warm sunshine everywhere,             ถ้าคุณรักผมมากเท่ากับที่ผมรักคุณ            โลกทั้งโลก ที่รัก จะยุติธรรมมาก            ท้องฟ้าจะใสกระจ่างและเป็นสีน้ำเงินสด            และจะมีแสงแดดที่อบอุ่นทุกหนทุกแห่งMy searching heart will never roam again With you alone I shall remain,  Ever care, from the start,  Ever share, lover's part.  At first sight, lovelight burns in my heart.             หัวใจที่ไฝ่หาของผมจะไม่ท่องเที่ยวไปไหนอีกแล้ว            กับคุณเท่านั้น ผมสัญญาว่าจะอยู่ที่นี่            ดูแลใส่ใจเสมอ ตั้งแต่แรกเริ่ม            แบ่งปันเสมอในส่วนที่เป็นความรัก            ตั้งแต่แรกพบ ประกายแห่งรักลุกไหม้อยู่ในหัวใจผม[1][2]Vocabulary Itemsafar (adv) = ห่างไกลมากalone (adv) = ตามลำพังanew (adv) = อีกครั้งหนึ่งapart (adv) = ห่างออกจากกัน แยกออกจากกันat first sight = พบครั้งแรกbeat (v) = เต้นเป็ยจังหวะbleed (v) = เลือดกำลังไหลburn (v) = เผาไหม้care (v) = สนใจใยดี ห่วงใย เอื้ออาทรclear (adj) = แจ่มใส ชัดเจนdepend on (v) = ขึ้นอยู่กับdestiny (n) = โชคชะตา empty (adj) = ว่างเปล่าfair (adj) = ยุติธรรมfate (n) = ชะตากรรม โชคชะตาfill (v) = บรรจุ เติม ใส่ลงไปflaming light = แสงที่กำลังลุกไหม้heaven (n) = สวรรค์lonely (adj) = เปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยว love at first sight = รักแรกพบlovelight (n) = ประกายแห่งรัก แววตาที่บ่งบอกความรักloving (adj) = รักใคร่ ห่วงใย แสดงความรักใคร่mean (v) = มีความหมาย มีความสำคัญreach (v) = เอื้อมมือ ไขว่คว้าremain (v) = คงอยู่ เหมือนเดิมroam (v) = ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆshare (v) = แบ่งปันsoul (n) = วิญญาณ จิตใจ ความรู้สึก thrill (n) = ความรู้สึกตื่นเต้น ความสุขล้นtrue (adj) = แท้จริงwhole (adj) = ทั้งหมด ทั้งมวลwonder (v) = สงสัยแก้วตาขวัญใจเพลงพระราชนิพนธ์ของ ร.9นิพนธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า จักรพันธ์เพ็ญศิริแก้วตาขวัญใจเธออยู่แห่งใดขวัญเอย ขาดชู้คู่เชยรักเอยเดียวดาย เฝ้าคอยรักเศร้าเหงาใจแสนหน่าย เปลี่ยนปานชีวาวางวายคลายสุขตรมโอ้เวรไหนมาพาโชคชะตาแสนชั่ว โลกนี้มืดมัวหวาดกลัวระทม ได้แต่หวังนั่งแต่ฝันคอยคู่ขวัญตันอกตรม ร้อนอารมณ์หวังชมชิดเชยดวงใจอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวปานใดอกใจระทม ขาดคนนิยมขาดคู่ชิดชมระบมทรวงใน โอ้บุญไม่ช่วยนำพาแก้วตาขวัญใจ ได้แต่ฝันไปไม่สบสมใจรักเอยแก้วตาขวัญใจเธออยู่แห่งใดหนอเธอ เฝ้าเพ้อเฝ้าละเมอใฝ่เธอมาเชย สุดจะเหงาเฝ้าแต่ฝันทรวงกระสันพรั่นจิตเลย ฝันถึงวันขวัญเอยชิดเชยชื่นชมเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๑๒ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ.๒๔๙๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า จักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย
16 พฤษภาคม 2563     |      386
ทั้งหมด 42 หน้า