Love at Sundown
Love at Sundownยามเย็น รักยามอาทิตย์อัสดงเพลงพระราชนิพนธ์ของ ร.9ประพันธ์เนื้อร้องโดย ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยาขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์ แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์'Tis sundown.(= It is) The golden sunlight tints the blue sea. Paints the hill and gilds the palm tree, Happy be, my love, at sundown. นี่คือยามอาทิตย์อัสดง            แดดสีทองฉาบทาท้องทะเลสีน้ำเงิน            ทาเนินเขาและฉาบต้นปาล์มด้วยแสงสีทอง            ความรักของผม คือความสุขในยามอาทิตย์อัสดง'Tis sundown. The multi-coloured dancing sunbeam Brightly shines on in my heart's dream Of the one I love, at sundown. นี่คือยามอาทิตย์อัสดง            ลำแสงดวงอาทิตย์หลากหลายสีกำลังเต้นระยิบระยับ            สาดส่องอย่างแจ่มจ้าที่ความฝันในใจผม            สิ่งหนึ่งที่ผมรักคืออาทิตย์ยามอัสดงThe birds come to their nest At peace, they bill and coo. The wide world sinks to rest, And so do I and so do you.            นกกลับมาสู่รังของมัน            ยามสงบ นกมันใช้ปากซุกไซ้กันและส่งเสียงร้องเบาๆ            โลกอันกว้างใหญ่หยุดนิ่งพักผ่อน            และผมและตัวคุณก็เช่นเดียวกัน 'Tis sundown. In splendour sinks the sun, comes twilight, Day is done, now greets the cool night. Happy be, my love, at sundown.นี่คือยามอาทิตย์อัสดง            ดวงอาทิตย์ลับไปในความวิเศษสุด และปรากฎแสงสีทองเหนือขอบฟ้า            กลางวันผ่านไป ตอนนี้กลางคืนที่เย็นก็มาทักทาย            ความรักของผม คือความสุขในยามอาทิตย์อัสดงVocabulary Itemsat peace (n) = ในความเงียบ ในความสงบbill (v) = ใช้จงอยปากซุกไซ้กันbrightly (adv) = อย่างแจ่มชัด อย่างชัดเจนcoo (v) = ส่งเสียงเบาๆcool (adj) = เย็นgild (v) = ฉาบด้วยทองบางๆgolden (adj) = เป็นสีทองgreet (v) = ทักทายhill (n) = เนินเขาเตี้ยๆmulti-coloured (adj) = หลากหลายสีpaint (v) = ทาสีpalm tree (n) = ต้นปาล์มrest (v) = พักผ่อนsea (n) = ทะเลsink (v) = จม หยุดsplendor (n) = ความวิจิตรตระการตาsunbeam (n) = ลำแสงอาทิตย์sundown (n) = ยามเย็น ยามอาทิตย์อัสดง ขณะที่ดวงอาทิตย์ตกดินsunlight (n) = แสงแดดtint (v) = ฉาบทาด้วยหลากหลายสี'tis (= it is) = มันคือtwilight (n) = เวลาขณะที่แสงสีทองฉาบท้องฟ้าหลังดวงอาทิตย์ตก เวลาพลบค่ำยามเย็นทำนอง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คำร้อง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ เพลงประกอบภาพยนตร์ พรจากฟ้า แดดรอนๆ เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา ในนภาสลับจับอัมพรแดดรอนๆ เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ยามนี้จำต้องพรากจากดวงใจ ไกลแสนไกลสุดห่วงยอดดวงตาแต่ก่อนเคยคลอเคลียกัน ทุกวันคืนรื่นอุรา ต้องอยู่เดียวเปลี่ยนวิญญาณ์ เหมือนดังนภาไร้ทินกรแดดรอนๆ เมื่อทินกรจะลาโลกไปไกล ความรักเราคงอยู่คู่กันไป ในหัวใจคงอยู่คู่เชยชมโอ้ยามเย็น จวบยามนี้เป็นเวลาสุดอาวรณ์ ยามไร้ความสว่างห่างทินกร ยามรักจำจะจรจากกันไป เพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ ใน พ.ศ. 2489 ขณะยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เป็นงานทดลองของพระองค์ในจังหวะฟ็อกซ์ทร็อต ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย และท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา แต่งคำร้องภาษาอังกฤษ แล้วพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีคำต้องสมบูรณ์ให้นายเอื้อ สุนทรสนาน นำออกบรรเลงในงานของสมาคมปราบวัณโรค ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 นับเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่นำออกบรรเลงสู่ประชาชน เป็นเพลงที่ร่าเริงแจ่มใสเหมาะสำหรับการเต้นรำในสมัยนั้นอ้างอิงhttps://www.siamzone.com/music/thailyric/12061
16 พฤษภาคม 2563     |      432
No Moon
No Moon (ไร้จันทร์พระราชนิพนธ์ของ ร.9ขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์           แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์What do I care 'bout moonlight, I have your smile, love, That's shining just as bright.ผมจะต้องสนใจใยดีอะไรกับแสงจันทร์ล่ะ?            ผมมีรอยยิ้มของคุณแล้ว ที่รัก            ซึ่งสองสว่างเช่นเดียวกันThere's nothing I cannot do, dear, If you love me true, dear, I have nothing to fear, My way is always clear.            ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้ ที่รัก            ถ้าคุณรักผมจริง ที่รัก            ผมไม่มีอะไรที่ต้องกลัว            วิธีการของผมมันชัดเจนอยู่แล้วNo stars, I have no use for starlight, I've your twinkling eyes To guide me quite all right.            ไม่มีดวงดาว            ผมไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรกับแสงดาว            ผมมีดวงตาที่ส่องประกายของคุณ            ที่นำทางผมก็เพียงพอแล้วOthers may need the moon And even the stars too. But I'm happy, Whenever I'm with you.คนอื่นๆอาจต้องการดวงจันทร์และแม้แต่ดวงดาวด้วยแต่ว่าผมมีความสุขเมื่อใดก็ตามที่ผมอยู่กับคุณ  Vocabulary Items'bout =about = เกียวกัยbright(adj) = สว่างcare (v) = สนใจใยดี เป็นห่วงclear(adj) = ชัดเจนfear(v) = กลัว รู้สึกกลัวguide = นำทาง บ่งบอก ชี้ทางmoonlight(n) = แสงจันทร์no use = ไม่มีประโยชน์quite all right= เพียงพอแล้วดีพอแล้วshine (v) = ส่องแสงstarlight(n) = แสงดาวtrue(adj) = จริง ซื่อสัตย์twinkling (adj) = เป็นประกายระยิบระยับwhenever(conj, adv) = เมื่อใดก็ตามไร้จันทร์คำร้อง: นายอาจินต์ ปัญจพรรค์ ไร้จันทร์ ฉันไม่นึกห่วงแสงโสมผ่อง รักยิ้มแสนหวานส่อง เปรียบประกายทองของจันทร์มิเคยมีสิ่งใดไกลเกินหวัง แม้นมั่นใจในรักฉัน มิหวั่นภัยใดขวางกั้น ทางรักสุขสันต์สดใสไร้ดาว ฉันไม่นึกห่วงดาวน้อยใหญ่ แววตาเธอแทนได้ ส่องทางไปดังดาราถึงใครอื่นมุ่งชมจันทร์ และหมายมั่นดาวเด่นฟ้า แต่ตัวฉันสุข ทุกเวลาคราชิดเธอไร้เดือนคำประพันธ์: ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์เหมือนดังฟ้าที่ไร้แสงส่อง รักน้องนั้นหวานชื่น รื่นรมย์ชมพักตร์แทนเดือนงามดวงหน้าติดตราตรึงใจไซร้ ยิ้มรื่นใครจะมาเหมือน ไร้เดือนเลือนไม่แลเห็น ก็เป็นสุขใจไม่วายไร้ดาว มืดในหาวไม่เห็นแหนงหน่าย สายรักแสนสูงส่ง มั่นคงในดวงวิญญาณ์ถึงใครอื่นชื่นชมเดือน ฝันใฝ่ดาวบนฟ้า แต่เราชิดหน้า รสความรักไม่ร้างราเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓๙ ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองและคำร้องภาษาอังกฤษพร้อมกันใน พ.ศ. ๒๕๐๘ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายอาจินต์ ปัญจพรรค์ ประพันธ์คำร้องภาษาไทยถวาย ชื่อ "ไร้จันทร์ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ ประพันธ์คำร้องภาษาไทยถวายชื่อ "ไร้เดือน
16 พฤษภาคม 2563     |      166
Near Dawn
Near Dawnใกล้รุ่งเพลงพระราชนิพนธ์ ร. 9ประพันธ์คำร้องโดย ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยาและพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์How calm the world all nature slumber still. Grey is the sky. No breezes blow. O'er roof and hill, the moon now low Sends gentle light to guard below.             ธรรมชาติทั้งมวลในโลกช่างนอนเงียบสงบดีเสียจริง            ทองฟ้าเป็นสีเทา ไร้กระแสลมพัด            เหนือบ้านและเนินเขา ดวงจันทร์ขณะนี้ลอยต่ำ            ส่องแสงอ่อนๆสาดส่องเบื้องล่างCocks waking call 'cross the fields:  Grey shadows flee. Stars disappear.  But, here I lie sleepless, dear.  Bats flutter home. The dawn is near. เสียงไก่ขันดังข้ามท้องทุ่ง            เงาสีเทาแผ่กระจาย  ดวงดาวลับหายไป            แต่ว่า ผมนอนไม่หลับอยู่ตรงนี้ ที่รัก            ค้างคาวบินฉวัดเฉวียนกลับรัง กำลังจะใกล้รุ่งแล้วGold streaks the east. Its glow, the reefs reflect, Dark leaves turn green. And flow'rs with light, are deck'dแถบสีทองพาดทางตะวันออก            แสงเรืองของมันสะท้อนแนวปะการัง            ใบไม้สีดำเปลี่ยนเป็นสีเขียว            และดอกไม้ที่มีแสงส่องก็ได้รับการประดับประดาสวยงามNow birds and babes wake to play. The world expectant waitsTo greet a bright, new day.ขณะนี้เหล่านกและลูกๆของมันตื่นขึ้นมาเล่นกัน            ชาวโลกผู้คาดหวังก็รอคอย            ที่จะทักทายวันใหม่ที่สดใสDew fresh and cool. The town awakes from sleep!  Its throb I hear: car, speeding, hum.  Of love and hope the birds sing, dear Come, rise don't mope. The dawn is near. น้ำค้างใหม่และเย็น ชาวเมืองตื่นจากนอน            ผมได้ยินเสียงสั่นสะเทือนของรถยนต์ การเร่งความเร็ว และเสียงร้องเบาๆ            ของนกร้องเรื่องความรักและความหวัง ที่รัก            มาเลย ลุกขึ้น อย่ามัวแต่เซื่องซึ่มอยู่เลย กำลังจะใกล้รุ่งแล้วVocabulary Itemsbat (n) = ค้างคาวblow (v) = พัด ลมพัดbreeze (n) = สายลมโชย calm (adj) = เงียบสงบcock (n) = ไก่ตัวผู้cool (adj) = เย็นสบาย'cross = across = ข้ามdawn (n) = ยามเช้ามืด รุ่งอรุณdeck'd = decked = ถูกประดับประดาสวยงามdew (n) = น้ำค้างdisappear (v) = หายไปexpectant (n) = ผู้รอคอย ผู้คาดหวังflutter (v) = บินฉวัดเฉวียนfresh (adj) = สด ใหม่ gentle (adj) = อ่อนๆ อ่อนโยน สุภาพglow (v,n) = เรืองแสง การเรืองแสงgreet (v) = ทักทายgrey (n) = สีเทาhill (n) = เนินเขาhum (n) = เสียงร้องเบาๆmope (v) = แสดงอาการเซื่องซึ่มreef (n) = แนวปะการังreflect (v) = สะท้อนroof (n) = หลังคาshadow (n) = เงาsleepless (adj) = นอนใหลับslumber (n, v) =การนอน นอนstreak (n) = แถบthrob (n) = เสียงสั่นสะเทือนใกล้รุ่งประพันธ์คำร้องโดย ศจ. ดร.ประเสริฐ ณ นคร และ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลไกล ชุ่มชื่นฤทัยหวานใดจะปาน ฟังเสียงบรรเลงกับเพลงประสาน จากทิพย์วิมานประทานกล่อมใจใกล้ยามเมื่อแสงทองส่อง ฉันคอยมองจ้องฟ้าเรืองรำไร ลมโบกโบยมาหนาวใจ รอช้าเพียงไรตะวันจะมาเพลิดเพลินฤทัยฟังไก่ประสานเสียงกัน ดอกมะลิวัลย์อวลกลิ่นระคนมณฑาโอ้ในยามนี้เพลินหนักหนาแสงทองนวลผ่องนภา แสนเพลินอุราสำราญหมู่มวลวิหคบินผกมาแต่รังนอน เฝ้าเชยชิดช้อนลิ้มชมบัวบาน ยินเสียงบรรเลงดังเพลงขับขาน สอดคล้องกังวานซาบซ่านจับใจเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ขณะทรงเป็นสมเด็กพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ประพันธ์คำร้องภาษาไทย โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงช่วย ส่วนคำร้องภาษาอังกฤษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ประพันธ์ขึ้น และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงช่วยแก้ไข แล้วพระราชทานให้วงดนตรีสุนทราภรณ์นำออกบรรเลงครั้งแรกทางสถานีวิทยุกระจายเสียงกรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ปัจจุบัน) เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ๒๔๘๙
16 พฤษภาคม 2563     |      204
Falling Rain
Falling Rain (สายฝน ฝนกำลังตกเพลงพระราชนิพนธ์ของ ร.9ประพันธ์เนื้อร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริและท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยาขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Rain winds sweep across the plain. Thunder rumbles on high.  Lightening flashes; Bows the grain.  Birds in fright nestward fly. ลมฝนพัดผ่านที่ราบ            ฟ้าร้องคำรามมาจากที่สูงเบื้องบนสายฟ้าแลบ ทำให้รวงข้าวโค้งงอลง            นกตกใจ บินกลับรังBut the rain pours down in blessing;  Filled with cheer our hearts expand.  As the woods with notes of pleasure ring,  Sunlight streams o'er the land. แต่ว่าฝนตกเทลงมาท่ามกลางความยินดีทำให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยความปรีดาขณะที่ป่าไม้เจริญงอกงามดีลำแสงดวงแสงอาทิตย์สาดส่องเหนือพื้นดินBright the rainbow comes in view.  All the world's cool and clean.  Angels' tears the flowers renew.  Nature glistens in green. รุ้งสีสดปรากฏออกมาให้เห็น            ทุกสรรพสิ่งในโลกเย็นลงและสะอาด            หยาดน้ำตาของเหล่านางฟ้าทำให้ดอกไม้มีชีวิตชีวาขึ้น            ธรรมชาติส่องประกายเป็นสีเขียวRain beads sparkle in your hair, love.  Rainbows glitter when you smile.  Thus we soon forget the clouds above,  Beauty so does beguileเม็ดฝนส่งประกายบนเรือนผมคุณ ที่รัก            สายรุ้งทอแสงระยิบระยับเมื่อคุณยิ้ม            ดังนั้น ในไม่ช้าเราก็ลืมมวลเมฆข้างบน            ความสวยก็ชักจูงให้คนหลงใหลได้เช่นเดียวกันVocabulary Itemsbeguile (v) = ชักจูงให้หลงเชื่อbow (v) = โค้งงอลง โค้งต่ำลงbright (adj) = สว่าง สีสดใสclean (adj) = สะอาดangel (n) = นางฟ้าcloud (n) = ก้อนเมฆcome in view (v) = ปรากฏให้เห็นcool (adj) = เย็นลงexpand (v) = พองโต ขยายใหญ่ขึ้นwoods (n) = ป่าไม้flash (v) = ประกายแวบวับของฟ้าแลบflower (n) = ดอกไม้forget (v) = ลืมglitter (v) = ส่องแสงระยิบระยับgrain (n) = ธัญพืช ต้นข้าวin blessing (n) = ท่ามกลางความยินดีin fright (n) = อยู่ในอาการตกใจกลัวlightening (n) = ฟ้าแลบnestward fly (v) = บินกลับรังo'er = over = บนplain (n) = ที่ราบpleasure ring (n) = วงปีของต้นไม้ที่เจริญงอกงามดีpour down (v) = เทลงมา ฝนตกหนักrain wind (n) = ลมฝนrainbow (n) = รุ้งกินน้ำrenew (adj) = มีชีวิตชีวาglisten (v) = ส่งประกายจากการกระทบแสงแดดrain bead (n) = เม็ดฝนrumble (v) = เสียงคำรามของฟ้าsparkle (n) = ส่องประกาย มีประกายstream (v) = ลำแสง ลำธารsunlight (n) = แสงแดดsweep (v) = กวาด พัดวูบ พัดกวาดthe land (n) = แผ่นดินthunder (n) = ฟ้าร้องสายฝนประพันธ์เนื้อร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริเมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว ต้นไม้พลิ้วลู่กิ่งใบ เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป แต่เหล่าไม้ยิ่งกลับงามพระพรหมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง เพื่อประทังชีวิตมิทราม น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชุ่มธาราสาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวทุ่ง แดดทอรุ้งอร่ามตา รุ้งเลื่อมลายพร่างพรายนภา ยามเมื่อฝนมาแต่ไกลพระพรหมช่วยอำนวยให้ชื่นฉ่ำ เพื่อจะนำดับความร้อนใจ น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้าแดนไกล พืชพรรณไม้ชื่นยืนยงเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ขณะทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงแต่งร่วมกับท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนนี้ มีลีลานุ่มนวลอ่อนหวาน บรรเลงครั้งแรกในงานรื่นเริงของสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ๒๔๘๙ จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยอีกเพลงหนึ่งจนถึงปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งถึงความลับของเพลงนี้ว่าเมื่อแต่งเป็นเวลา ๖ เดือน ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริได้เขียนจดหมายถึง บอกว่ามีความปลาบปลื้มอย่างหนึ่งเพราะไปเชียงใหม่ เดินไปตามถนนได้ยินเสียงคนผิวปากเพลงสายฝน ก็เดินตามเสียงไปเข้าไปในตรอกซอยแห่งหนึ่งก็เห็นคนกำลังซักผ้าแล้วก็มีความร่าเริงใจ ผิวปากเพลงสายฝนและก็ซักผ้าไปด้วยก็นับว่าสายฝนนี้มีประสิทธิภาพสูงซักผ้าได้สะอาด…ที่จริงความลับของเพลงมีอย่างหนึ่งคือเขียนไป ๔ ช่วง แล้วก็ช่วงที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เสร็จแล้วเอาช่วงที่ ๓ มาแลกช่วงที่ ๒ กลับไปทำให้เพลงมีลีลาต่างกันไป…เป็น ๑ ๓ ๒ ๔ข้อมูลhttp://th.wikipedia.org/wiki/Falling_Rain
16 พฤษภาคม 2563     |      240
Echo
Echoแว่วเสียงสะท้อนกลับเพลงพระราชนิพนธ์ของ ร. 9ขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Echo - of a sweet melodyof tender lovekeeps bringing memoryfrom heaven above.เสียงสะท้อนกลับของทำนองเพลงที่หวานซึ้ง            ของความรักที่อ่อนละไม            ทำให้ความทรงจำกลับคืนมาเสมอ            จากสรวงสวรรค์เบื้องบนSoft lights - Gliding through empty space'yond cloudy skies,remind me of your dear faceand lovelight in your eyes.แสงเรืองๆล่องลอยผ่านอวกาศที่ไร้ขอบเขตโพ้นท้องฟ้าที่เมฆมากเตือนให้ผมคิดถึงใบหน้าที่น่ารักของคุณและแสงประกายแห่งรักในดวงตาของคุณHow - I long to be with youOnce again.อีกนานสักเท่าไหร่ผมถึงจะได้อยู่กับคุณ            อีกสักครั้งหนึ่งHope - and pray, oh yes I do,all in vain.ความหวังและความปรารถนาของผม ใช่เลย            ต่างก็ไม่ได้ผลOur Song - of it is nothing leftbut the echo.            เพลงของเราไม่มีอะไรเหลือเลย            นอกจากเสียงสะท้อนกลับThough time is unforgivingI knowOur love willLinger onFor eternity.ตลอดเวลาไม่มีการยกโทษให้            ผมรู้            ความรักของเราจะ            ดำเนินไปอย่างอ้อยอิ่ง            ชั่วนิจนิรันดร์Vocabulary Itemsall in vain= ทุกอย่างไร้ผล ทุกอย่างไม่ประสบผลสำเร็จcloudy (adj) = มีเมฆมากecho (n) = เสียงสะท้อนกลับempty (adj) = ว่างเปล่าeternity(n) = ชั่วนิจนิรันดร์glide (v) = บิน ร่อน เหิรheaven (n) = สวรรค์hope (n) = ความหวังlight(n) = แสงlinger on(v) = ค่อยๆดำเนินไปเรื่อยๆ ดำเนินไปอย่างอ้อยอิ่งlovelight (n) = ประกายแห่งแรกmelody(n) = ทำนองเพลงmemory(n) = ความทรงจำonce again= อีกครั้งหนึ่งour song - of it is nothing leftpray(n) = การสวดมนต์ การอ้อนวร ความปรารถนาremind (v) = เตือนความจำsoft (adj) = เบา นุ่มนวนspace(n) = ที่ว่าง อวกาศsweet (adj) = หวาน หวานซึ้งtender (adj) = นุ่มนวน อ่อนนุ่ม'yond (prep) = beyond โพ้น ไกลโพ้น แว่วประพันธ์คำร้อง โดย ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นครเพลงแว่วแผ่วกังวาน หวานใดปานเพลงรักระรื่น กลับคะนึงถึงวันคืน เคยชิดชื่นอุราแสงนวลประกายฉาย ผ่านฟ้าครามแลอร่ามตา เปรียบวงพักตร์ผ่องเพี้ยงจันทรา นวลแสงแววตาประกายหวังประสบ ฉันยังอยากพบเธอไม่วายรักมิหน่าย รักเราสุดหมายแลสุดหวังร้าวรอนเพลงสะท้อน แต่สำเนียงเพียงแผ่วแผ่วดัง โลกเรานี้แท้ไม่มียืนยง แต่ความรักเราจีรังคงคู่ฟ้ายั่งยืนร้าวรอนเพลงสะท้อน แต่สำเนียงเพียงแผ่วแผ่วดังโลกเรานี้ ที่แท้ไม่มี ยืนยงแต่ความรัก เราจีรังคงคู่ฟ้า ยั่งยืนเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔๑ ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองและคำร้องภาษาอังกฤษพร้อมกันใน พ.ศ. ๒๕๐๘ ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ประพันธ์คำร้องภาษาไทยถวาย เพลงนี้วงดนตรีสุนทราภรณ์นำออกบรรเลงเป็นครั้งแรกในงานสังคีตมงคล ครั้งที่ ๑ ณ บริเวณพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๙
16 พฤษภาคม 2563     |      157
Dream Island
Dream Island (เกาะในฝันเพลงพระราชนิพนธ์ของ ร.9ขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์In a dream, I'm on a desert island, Waiting for you, hoping you've not forgotten. How happy, I would be to see you near. And how sorry, if you don't appear.            ในความฝันครั้งหนึ่ง ผมอยู่ที่เกาะในทะเลทรายแห่งหนึ่ง            รอคอยคุณ หวังว่าคุณจะไม่ลืมผม            มีความสุขมากที่ผมจะได้พบและอยู่ใกล้คุณ            และจะมีทุกข์มากถ้าคุณไม่ไปหาLike old time, we'd listen to the sea Which is like music leading to ecstasy. Though knowing, it is no use to be blue, I keep dreaming, it may well come true            เหมือนดั่งเวลาเก่าก่อน เราเคยฟังเสียงทะเล            ซึ่งเหมือนดั่งดนตรีที่นำไปสู่ความสุขเหลือล้น            แม้รู้ว่า มันไม่มีประโยชน์อันใดที่จะรู้สึกเศร้า            ผมก็ยังฝันเสมอว่า มันอาจจะเป็นจริงได้Vocabulary Itemsappear(v) = ปรากฎ มาหาdesert(n) = ทะเลทราย ที่รกร้างว่างเปล่า กันดาร ไร้ผู้คนdream (v, n) = ฝัน ความฝันสภาวะจิตที่มีความสุขล้นforget, forgot, forgotten (v) = ลืมhope (v, n) = หวัง ความหวังI keep dreaming. = ผมก็ยังฝันเสมอisland(n) = เกาะIt is no use to be blue. มันไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเศร้าIt may well come true. = มันอาจจะเป็นจริงได้lead to (v) = นำไปสู่music (n) = ดนตรีsea(n) = ทะเลwait(v) = รอคอยเกาะในฝันประพันธ์คำร้องโดย ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ฉันสุดปลื้ม ไม่ลืมเกาะงามที่เคยฝัน หลงเพ้อคำมั่น รำพันถึงความรักชื่นฉ่ำแสงจันทร์ผ่อง ส่องเป็นประกายบนผืนน้ำ เสียงสายลมพร่ำ คร่ำครวญเหมือนมนตราหาดทรายขาว หมู่ดาวพร่างพราวนภา รูปเงาเพราพริ้งตา ไยด่วนลาเลือนมลายฝันสุดสิ้น ไม่ยลไม่ยินน่าใจหาย ฝันถึงไม่หน่าย ไม่คลายร้างราเธอเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔๐ ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองและคำร้องภาษาอังกฤษพร้อมกันใน พ.ศ. ๒๕๐๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค และหม่อมหลวงประพันธ์ สนิทวงศ์ ประพันธ์คำร้องภาษาไทยถวาย
16 พฤษภาคม 2563     |      123
Candlelight Blues
Candlelight Bluesแสงเทียนแสงเทียนเศร้าเพลงพระราชนิพนธ์ของ ร.9ประพันธ์คำร้องโดย รศ. สดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์สดใด พันธุมโกมล)ขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์แปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์The candlelight is shining low, My only love, I'm missing you so. I know I've lost but still I dream of you.แสงเทียนกำลังส่องสว่างหรี่ลงที่รักหนึ่งเดียวของผม ผมกำลังคิดถึงคุณมากผมรู้ว่าผมได้สูญเสียคุณไป แต่ว่าผมก็ยังคิดถึงคุณI'll hope and dream till all my dreams come true. Just by the candlelight You used to hold me tight.ผมจะหวังและฝันจนกระทั่งความฝันทั้งหมดของผมเป็นจริงเพียงแต่อยู่ข้างๆกับแสงเทียนคุณเคยกอดผมไว้แน่นThis candlelight reminds me so of you, By candlelight you kissed me. Still the candle's burning for two, But darling, where can you be?แสงเทียนนี้เตือนให้ผมคิดถึงคุณมากว่าอยู่ข้างๆกับแสงเทียนคุณเคยจูบผมแสงเทียนยังคงลุกไหม้สำหรับเราทั้งสองแต่ว่าที่รัก คุณอยู่ที่ไหนล่ะ?Come back, my love,  if you're feeling this blue By candlelight you'll meet me But darling where can you be?กลับมาเถอะ ที่รักถ้าคุณมีความรู้สึกเศร้าเช่นนี้อยู่ข้างๆกับแสงเทียนคุณจะพบผมแต่ว่าที่รัก คุณอยู่ที่ไหนล่ะ?Vocabulary Itemsblue (adj) = รู้สึกเหงา รู้สึกเศร้าburn (v) = เผาไหม้candlelight (n) =แสงเทียนhold (v) = กอด ยึด เหนี่ยวjust (adv) = เพียงแต่ kiss (v) = จูบlose, lost, lost (v) = สูญหาย หลงทาง ทำสูญหายmiss (v) = คิดถึงremind (v) = เตือนให้คิดถึงshine (v) = ส่องแสงtight (adj) = แน่น ติดแน่นused to (v) = เคยแสงเทียนประพันธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ(ขณะดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์)จุดเทียนบวงสรวงปวงเทพเจ้า สวดมนต์ค่ำเช้าถึงคราวระทมทน โอ้ชีวิตหนอล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้นทุกข์ทนอาทรร้อนใจ ต่างคนเกิดแล้วตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจรนิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยงเสี่ยงบุญกรรม ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน เชิญปวงเทวดาข้าไหว้วอน ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียนเปรียบเทียนสิ้นแสงยามแรงลมเป่า ชีพดับอับเฉาเหมือนเงาไร้ดวงเทียน จุดเทียนถวายหมายบนบูชาร้องเรียน โรคภัยเบียดเบียนแสงเทียนทานลมพัดโบย โรครุมเร้าร้อนแรงโรย หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจทำบุญทำทานกันไว้เถิดเกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา แสงเทียนบูชาจะดับพลัน แสงเทียนบูชาดับลับไปเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2498 ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระอนุชาธิราชได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ (ขณะดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์นิพนธ์คำร้องภาษาไทย แต่เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขทำนองและคอร์ดบางตอน จึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้นำออกมาบรรเลงในเวลานั้น ต่อมา ได้พระราชทานให้นำออกบรรเลงครั้งแรก พ.ศ.2490 และใน พ.ศ.2496 นางสาวสดใส วานิชวัฒนา (รองศาสตราจารย์สดใด พันธุมโกมลประพันธ์คำร้องภาษาอังกฤษ
16 พฤษภาคม 2563     |      182
Seasons in the Sun
Seasons in the Sunฤดูท่ามกลางแสงแดดTerry Jacksแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Goodbye to you, my trusted friend We've known each other since we were nine or ten Together we climbed hills and trees Learned of love and A B C's Skinned our hearts and skinned our knees (small injure)ลาก่อนนะคุณ เพื่อนที่ซื่อสัตย์ของผม            เรารู้จักกันและกันมาตั้งแต่เราอายุ 9 หรือ 10 ปี            เราเคยปีนเนินเขาและต้นไม้มาด้วยกัน            เคยเรียนรู้เรื่องรัก และเรียน ก ข ค มาด้วยกัน            เคยมีหัวใจและหัวเข่าเป็นบาดแผลถลอกมาด้วยกันGoodbye, my friend, it's hard to die When all the birds are singing in the sky Now that the spring is in the air Pretty girls are everywhere Think of me and I'll be thereลาก่อนนะเพื่อนของผม มันเป็นการยากที่จะตาย            เมื่อนกทั้งหลายยังส่งเสียงร้องอยู่ในท้องฟ้า            ตอนนี้ ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมา (อยู่ในอากาศมีหญิงสาวสวยอยู่ทุกหนทุกแห่ง            คิดถึงผมนะ และผมจะไปที่นั่นWe had joy, we had fun We had seasons in the sun But the hills that we climbed were just seasons Out of timeเราเคยมีความหรรษา เรามีความสนุก            เราเคยมีฤดูท่ามกลางแสงแดด            แต่เนินเขาที่เราเคยปีนป่ายมันเป็นเพียงฤดูกาลเท่านั้น            ที่ผ่านพ้นไปแล้วGoodbye Papa, please pray for me I was the black sheep of the family You tried to teach me right from wrong Too much wine and too much song Wonder how I got alongลาก่อนนะพ่อ โปรดสวดขอพรให้ผมด้วย            ผมเป็นแกะดำของครอบครัว            พ่อพยายามสอนผมให้รู้จักผิดชอบ            ผมดื่มทั้งไวน์และเพลงร้องมากมาย (ดื่มกินสำมะเลเทเมา            ยังสงสัยอยู่ว่าผมมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรGoodbye Papa, its hard to die When all the birds are singing in the sky Now that the spring is in the air Little children everywhere When you see them I'll be thereลาก่อนนะพ่อ มันเป็นการยากที่จะตาย            เมื่อนกทั้งหลายยังส่งเสียงร้องอยู่ในท้องฟ้า            ตอนนี้ ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมา (อยู่ในอากาศมีเด็กเล็กๆอยู่ทุกหนทุกแห่ง            เมื่อพ่อเห็นพวกเขา ผมก็จะไปอยู่ที่นั่น[1] We had joy, we had fun We had seasons in the sun But the wine and the song like the seasons Have all goneเราเคยมีความหรรษา เราเคยมีความสนุก            เราเคยมีฤดูท่ามกลางแสงแดดแต่ว่าไวน์และเพลงก็เหมือนฤดู            มันสูญหายไปหมดแล้ว[1]Goodbye Michelle, my little one You gave me love and helped me find the sun And every time that I was down You would always come around And get my feet back on the groundลาก่อนนะมิเชลล์ลูกรักของพ่อ            ลูกให้ความรักกับพ่อและช่วยให้พ่อพบแสงตะวัน            และทุกครั้งที่พ่อเศร้าหมอง            ลูกจะมาอยู่ใกล้ๆพ่อเสมอ            และทำให้พ่อลุกขึ้นยืนต่อสู้กับชีวิตได้อีกGoodbye Michelle it's hard to die When all the birds are singing in the sky Now that the spring is in the air With the flowers everywhere I wish that we could both be thereลาก่อนนะมิเชลล์ มันเป็นการยากที่จะตายเมื่อนกทั้งหลายยังส่งเสียงร้องอยู่ในท้องฟ้า            ตอนนี้ ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมา (อยู่ในอากาศมีดอกไม้อยู่ทุกหนทุกแห่งพ่อปรารถนาว่าเราทั้งสองสามารถไปอยู่ที่นั่นได้[2] We had joy, we had fun We had seasons in the sun But the stars we could reach Were just starfish on the beachเราเคยมีความหรรษา เราเคยมีความสนุกเราเคยมีฤดูท่ามกลางแสงแดดแต่ดวงดาวที่เราควรจะเอื้อมถึงก็มีเพียงแต่ปลาดาวบนชายหาดเท่านั้น[2][1]All our lives we had fun We had seasons in the sun But the hills that we climbed were just seasons Out of timeตลอดชีวิตเรามีความสนุกสนานเรามีฤดูท่ามกลางแสงแดดแต่เนินเขาที่เราเคยปีนป่ายมันเป็นเพียงฤดูกาลเท่านั้นที่ผ่านพ้นไปแล้วWe had joy, we had fun We had seasons in the sunเรามีความหรรษา เรามีความสนุกสนานเราเคยมีฤดูท่ามกลางแสงแดด Vocabulary Itemsclimb (v) = ปีนป่ายcome around (v) = มาอยู่ใกล้ๆdown (adj) = เศร้า หดหู่ใจfun (n) = ความสนุกสนานget along (v) = เข้ากันได้joy (n) = ความหรรษา ร่าเริงแจ่มใสknee (n) = หัวเข่าseason (n) = ฤดูskinned (pp.) = บาดเจ็บเล็กน้อย แผลถลอกstarfish (n) = ปลาดาวthink of (v) = คิดถึงtrusted (pp.) = เชื่อใจได้ExpressionsLearned of love and A B C's …= เคยเรียนรู้เรื่องรัก และเรียน ก ข ค มาด้วยกันHave all gone. = มันก็จะสูญหายไปทั้งหมดOut of time = ที่ผ่านพ้นไปแล้วI was the black sheep of the family. = ผมเป็นแกะดำในครอบครัวI wish that we could both be there.= พ่อปรารถนาว่าเราทั้งสองสามารถไปอยู่ที่นั่นได้Get my feet back on the ground = ลุกขึ้นยืนต่อสู้กับชีวิตได้อีกGrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นGoodbye Michelle, it's hard to die.Now that the spring is in the air.Goodbye Papa, please pray for me.Present Progressive Tenseปัจจุบันกาลกำลังดำเนินอยู่ เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นและกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันในขณะที่พูดถึง เช่นAll the birds are singing in the sky. นกทั้งหมดกำลังส่งเสียงร้องอยู่ในท้องฟ้า   3. Simple Past Tenseอดีตกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้วในอดีต เช่นWe had joy, we had fun.We had seasons in the sun.You gave me love and helped me find the sun.And every time that I was down.Simple Future Tenseอนาคตกาลอย่างง่าย เพื่อบ่งบอกว่าเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นThink of me and I will be there.When you see them I'll be there.Subjunctive Moodปริกัลบมาลาคือประโยคที่แสดงความต้องการ ความปรารถนา แนะนำ ตักเตือน เชิญชวน ขอร้อง หรือแสดงเงื่อนไขสมมติ ที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงโครงสร้างประโยคCould/would/might/should + simple verb in Present TenseCould/would/might/should + have + p.p. (past participle) verb in Past Tense เช่นThe stars that we could reach were just starfish on the beach.ดวงดาวที่เราควรจะเอื้อมถึงก็มีเพียงแต่ปลาดาวบนชายหาดเท่านั้นI wish that we could both be there. พ่อปรารถนาว่าเราทั้งสองสามารถไปอยู่ที่นั่นได้
28 กรกฎาคม 2563     |      952
Say, You’ll Stay until Tomorrow
Say, You’ll Stay until Tomorrowพูดซิว่าคุณจะอยู่จนกระทั่งพรุ่งนี้Tom Jonesแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Say you'll stay until tomorrow I can't face tonight alone Though I know it's over and we're through Say you'll stay until tomorrow I need youพูดซิว่าคุณจะอยู่จนกระทั่งพรุ่งนี้ผมไม่สามารถจะเผชิญกับคืนนี้เพียงลำพังได้แม้ว่าผมจะรู้ว่าเรื่องมันสิ้นสุดและเราก็เลิกรากันแล้วพูดซิว่าคุณจะอยู่จนกระทั่งพรุ่งนี้ผมต้องการคุณThe words have all been said Your mind's made up to go You're standing by the bed Like someone I don't know Your love has died and there is nothing you can do Though you try (though you try) Yes you try (yes you try) You can't live (you can't live) With a lie, so…ถ้อยคำต่างๆได้พูดไปหมดแล้วคุณได้ตัดสินใจที่จะจากไปคุณกำลังยืนอยู่ข้างๆเตียงเหมือนดั่งคนที่ผมไม่รู้จักความรักของคุณได้เหือดหายไปแล้ว และไม่มีอะไรที่คุณจะทำได้แม้ว่าคุณจะพยายาม (แม้ว่าคุณจะพยายามใช่ คุณพยายาม (ใช่ คุณพยายามคุณไม่สามารถอยู่ได้ (คุณไม่สามารถอยู่ได้กับการโกหก ดังนั้น ....I've known for some time now That thing's just ain't been right ‘Cause when we try to talk We both get so uptight But now you've told the truth And I know where I stand Though it hurts (though it hurts) Deep inside (deep inside) Give me time (give me time) I'll get by, so..(= able to deal with problems)ตอนนี้ผมได้รู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าบางอย่างมันไม่ถูกต้องเสียที่เดียวเพราะว่าเมื่อเราพยายามที่จะพูดคุยกันเราทั้งคู่ก็เครียดมากแต่ว่าตอนนี้คุณได้บอกความจริงแล้วและผมรู้ว่าจุดยืนของผมอยู่ที่ไหนแม้ว่ามันเจ็บปวด (แม้ว่ามันเจ็บปวดอยู่ลึกๆภายใน (อยู่ลึกๆภายในขอเวลาให้ผม (ขอเวลาให้ผมผมจะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ดังนั้น....Though I know it over and we're through Say you'll stay until tomorrow I neeeeeeeeedddd youแม้ว่าผมจะรู้ว่าเรื่องมันสิ้นสุดและเราก็เลิกรากันแล้วพูดซิว่าคุณจะอยู่จนกระทั่งพรุ่งนี้ผมต้องการรรรรรรรรรรรรรรคุณVocabulary Itemsdie (v) = สิ้นสุดhurt (v) = รู้สึกเจ็บปวดI’ll get by. = ผมจะแก้ปัญหาได้ ผมจะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้It’s over. = มันจบสิ้นแล้วmake up (v) = ตัดสินใจstay (v) = พักอยู่ อาศัย tomorrow (n) = วันพรุ่งนี้truth (n) = ความจริงtry (v) = พยายามuntil (adv) = จนกระทั่งuptight (adj) = เครียด ตรึงเครียดWe’re through. = เราเลิกลากันแล้ว
15 พฤษภาคม 2563     |      182
San Francisco
San Francisco เมือง ซานฟานซิสโกScott McKenzieแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์If you're going to San Francisco Be sure to wear some flowers in your hair If you're going to San Francisco You're gonna meet some gentle people thereถ้าคุณจะไปที่เมือง San Franciscoขอให้แน่ใจนะว่าคุณทัดดอกไม้ที่ผมคุณด้วยถ้าคุณจะไปที่เมือง San Franciscoคุณจะพบกับสุภาพชนบางคนที่นั่นFor those who come to San Francisco Summertime will be a love-in there In the streets of San Francisco Gentle people with flowers in their hairสำหรับคนที่มาเมือง San Franciscoช่วงฤดูร้อนที่นั่นจะเป็นเวลาของความรักบทท้องถนนของเมือง San Franciscoสุภาพชนมีดอกไม้ทัดอยู่บนผมAll across the nation, such a strange vibration People in motion There's a whole generation with a new explanation People in motion, people in motionทั่วทั้งประเทศ จะมีความพลุกพล่านมากคนเคลื่อนที่ไปมามีคนทุกรุ่นอายุ ที่อธิบายได้ด้วยเรื่องใหม่ๆคนเคลื่อนที่ไปมา คนเคลื่อนที่ไปมาFor those who come to San Francisco Be sure to wear some flowers in their hair If you come to San Francisco Summertime will be a love-in there สำหรับคนที่มาเมือง San Franciscoขอให้แน่ใจนะว่าคุณทัดดอกไม้ที่ผมคุณด้วยถ้าคุณจะไปที่เมือง San Franciscoช่วงฤดูร้อนที่นั่นจะเป็นเวลาของความรักIf you come to San Francisco Summertime will be a loving dayถ้าคุณจะไปที่เมือง San Franciscoช่วงฤดูร้อนที่นั่นจะเป็นเวลาของความรัก Vocabulary Itemsexplanation (n) = คำอธิบายgeneration (n) = วัย รุ่นอายุgentle (adj) = สุภาพgonna (v) = going tolove-in (adj) = loving น่ารักstrange (adj) = แปลกsummertime (n) = ช่วงฤดูร้อนvibration (n) = การสั่นสะเทือน ไม่หยุดนิ่งwear (v) = สวมใส่ ประดับExpressionsAcross the nation = Across the country, nationwidePeople in motionIn the street (BE) บนท้องถนน vs On the street (AE).ข้างถนนGrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลธรรมดา เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นThere's a whole generation with a new explanation.Be sure to wear some flowers in their hair.ประโยคสมมุติชนิดที่ 2 (Present Possible for General Conditions)คือ ประโยคเงื่อนไขที่เป็นไปได้ในปัจจุบันสำหรับเหตุการณ์ทั่วๆไป โดยมีโครงสร้างประโยคเป็น       If + Simple Present Tense, + Simple Future Tense เช่นIf you come to San Francisco, Summer time will be a love-in there.If you're going to San Francisco, you're gonna meet some gentle people there.***
15 พฤษภาคม 2563     |      201
Right Here Waiting
Right Here Waitingกำลังรออยู่ตรงนี้ Richard Marxแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Ocean's apart day after day And I slowly go insane I hear your voice on the line But it doesn't stop the painมหาสมุทรแยกออกห่างจากกันทุกวันๆและผมเป็นบ้าอย่างช้าๆผมได้ยินเสียงคุณทางโทรศัพท์แต่ว่ามันก็ไม่ได้หยุดความเจ็บปวดIf I see you next to never How can we say foreverถ้าผมแทบไม่ได้พบคุณเลยเราจะกล่าวคำอำลากันชั่วนิจนิรันดร์ได้อย่างไร[1] Wherever you go Whatever you do I will be right here waiting for you Whatever it takes Or how my heart breaks I will be right here waiting for youไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนไม่ว่าคุณจะทำอะไรผมจะอยู่ตรงนี้รอคอยคุณไม่ว่ามันจะยาวนานเพียงใดหรือหัวใจของผมจะแตกสะลายอย่างไรผมจะอยู่ตรงนี้รอคอยคุณI took for granted, all the times That I thought would last somehow I hear the laughter, I taste the tears But I can't get near you nowผมเข้าใจเอาเองตลอดเวลาว่าผมคิดว่าความคิดเช่นนี้จะหมดไปสักวิธีหนึ่งผมได้ยินเสียงคนหัวเราะ ผมได้ชิมรสน้ำตาแต่ตอนนี้ผมไม่สามารถเข้าใกล้คุณได้Oh, can't you see it baby You've got me going crazyโอ้ คุณไม่เห็นมันหรือ ที่รักคุณทำให้ผมกำลังจะเป็นบ้า[1] I wonder how we can survive This romance But in the end if I'm with you I'll take the chanceผมสงสัยว่าเราจะมีชีวิตรอดได้อย่างไรจากเรื่องรักๆใคร่ๆนี้แต่ในตอนสุดท้าย ถ้าผมอยู่กับคุณผมจะฉวยโอกาสOh, can't you see it baby You've got me going crazyโอ้ คุณไม่เห็นมันหรือ ที่รักคุณทำให้ผมกำลังจะเป็นบ้า[1] Vocabulary Itemsapart (adj, adv) = แยกออกจากกันcrazy (adj) = เป็นบ้าday after day = วันแล้ววันเล่าforever (adv) = ชั่วนิจนิรันดร์insane (adj) = เป็นบ้าnext to never = แทบไม่ได้เลย เกือบเป็นไปไม่ได้เลยocean (n) = มหาสมุทรon the line = ทางสายโทรศัพท์pain (n) = ความเจ็บปวดromance (n) = เรื่องรักๆใคร่ๆsurvive (v) = มีชีวิตรอดtake for granted = เข้าใจเอาเองwhatever (adv) = อะไรก็ตามwherever (adv) = ที่ใดก็ตามwonder (v) = สงสัย
15 พฤษภาคม 2563     |      914
Return to Me
Return to Me (กลับมาหาผมเถิดDean Martinแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Return to me Oh my dear I'm so lonely Hurry back, hurry back Oh my love, hurry back, I'm yoursกลับมาหาผมเถิดโอ้ ที่รัก ผมโดดเดียวเหลือเกินรีบกลับมา รีบกลับมาโอ้ที่รัก รีบกลับมา ผมเป็นของคุณReturn to me For my heart wants you only Hurry home, hurry home Won't you please hurry home to my heartกลับมาหาผมเถิดเนื่องจากหัวใจของผมต้องการแต่เพียงคุณเท่านั้นรีบกลับบ้าน รีบกลับบ้านโปรดกรุณารีบกลับบ้านมาสู่ดวงใจของผมหน่อยไม่ได้หรือMy darling, if I hurt you I'm sorry Forgive me and please say you are mineที่รักของผม ถ้าผมทำให้คุณเจ็บซ้ำ ผมขอโทษยกโทษให้ผมนะ และโปรดพูดว่าคุณเป็นของผมReturn to me Please come back bella mia (Sweetheart) Hurry back, hurry home to my arms To my lips and my heartกลับมาหาผมเถิดโปรดกลับมานะยอดรักรีบกลับมา รีบกลับบ้านสู่อ้อมกอดของผมมาสู่ริมฝีปากของผม และหัวใจของผมRetorna me Cara mia ti amo Solo tu, solo tu, solo tu, solo tu Mio cuoreท่อนนี้เป็นภาษา Italian แปลความได้ดังท่อนต่อไปนี้return to me  my beloved, I love you  Only you, only you, only you, only you  My heart กลับมาหาผม (ควรจะเป็น Retorna (a) me)ที่รักของผม ผมรักคุณคุณเท่านั้น คุณเท่านั้น คุณเท่านั้น คุณเท่านั้นดวงใจของผมVocabulary Itemsbella mia (n) =sweetheart ที่รัก (Italian)darling (n) = ที่รักforgive (v) = ยกโทษให้ ให้อภัยhurry back (v) = รีบกลับมาhurt (v) = ทำให้เจ็บปวด ทำอันตรายlonely (adj) = โดดเดี่ยว หว้าหว่ เหงา เปล่าเปลี่ยวreturn (v) = กลับมาExpressionsHurry back = รีบกลับมาMy heart wants you only. = หัวใจของผมต้องการแต่เพียงคุณเท่านั้นHurry home to my arms. = รีบกลับบ้านมาสู่อ้อมกอดของผมIf I hurt you, I am sorry. = ถ้าผมทำร้ายคุณ ผมขอโทษนะHurry home to my heart. = รีบกลับบ้านมาหาดวงใจของผมPlease hurry home to my heart. = โปรดรีบกลับบ้านมาหาดวงใจของผมWill you please hurry home to my heart? = โปรดกรุณารีบกลับบ้านมาหาดวงใจของผมหน่อยได้ไหม?Won’t you please hurry home to my heart? = โปรดกรุณารีบกลับบ้านมาหาดวงใจของผมหน่อยไม่ได้หรือ?GrammarSimple Present Tenseปัจจุบันกาลอย่างง่าย เพื่อใช้บ่งบอกว่า เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นปกติวิสัยในขณะที่พูด หรือเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นประจำ เช่นOh my dear I'm so lonelyMy darling, if I hurt you I'm sorryHurry back, hurry home to my armsType 1 Conditional Sentence (Possible Present Habitual Condition) เงื่อนไขที่เป็นไปได้ในปัจจุบันสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกตินิสัย โครงสร้างประโยคคือ      If + Simple Present Tense, + Simple Present Tense เช่นIf I hurt you, I'm sorry.
15 พฤษภาคม 2563     |      1330
ทั้งหมด 42 หน้า