Walk Me Home
Walk Me Homeจงเดินไปส่งฉันที่บ้านPinkแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์There's something in the way you roll your eyes Takes me back to a better time When I saw everything is good But now you're the only thing that's good Tryna stand up on my own two feet This conversation ain't comin' easily And darling, I know it's getting late So what do you say we leave this place?มีบางอย่างอยู่ในวิธีที่คุณกลอกตาของคุณ พาฉันกลับไปในเวลาที่ดีกว่านี้ เมื่อฉันเห็นทุกอย่างว่าดี แต่ตอนนี้คุณเป็นสิ่งเดียวที่ดี พยายามยืนด้วยสองเท้าของฉันเอง บทสนทนานี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเลย และที่รัก ฉันรู้ว่ามันกำลังดึกแล้ว ดังนั้นคุณจะว่าอะไรไหม ถ้าเราออกจากที่นี่[1] Walk me home in the dead of night I can't be alone with all that's on my mind, mhm So say you'll stay with me tonight 'Cause there is so much wrong going on outsideจงเดินไปส่งฉันที่บ้านในตอนกลางคืนเงียบสะงัด ฉันไม่สามารถอยู่คนเดียวกับทุกสิ่งที่อยู่ในใจของฉันได้ ดังนั้น พูดซิว่าคุณจะอยู่กับฉันคืนนี้ เพราะว่ามีสิ่งผิดปกติมากกำลังเกิดขึ้นนอกบ้านThere's something in the way I wanna cry That makes me think we'll make it out alive So come on and show me how we're good I think that we could do some good, mhmมีบางอย่างที่ฉันอยากร้องไห้ นั่นทำให้ฉันคิดว่าเราจะทำให้มันมีชีวิต ดังนั้น เชิญมาและแสดงให้ฉันเห็นว่าเราดีอย่างไร ฉันคิดว่าเราสามารถทำสิ่งที่ดีได้[1]Ooh-ooh, ooh-ooh Ooh-ooh, ooh-oohWalk me home in the dead of night 'Cause I can't be alone with all that's on my mind Say you'll stay with me tonight 'Cause there is so much wrong going onจงเดินไปส่งฉันที่บ้านในตอนกลางคืนเงียบสะงัด ฉันไม่สามารถอยู่คนเดียวกับทุกสิ่งที่อยู่ในใจของฉันได้ พูดซิว่าคุณจะอยู่กับฉันคืนนี้ เพราะว่ามีสิ่งผิดปกติมากกำลังเกิดขึ้นWalk me home in the dead of night I can't be alone with all that's on my mind So say you'll stay with me tonight 'Cause there is so much wrong There is so much wrong There is so much wrong going on outsideจงเดินไปส่งฉันที่บ้านในตอนกลางคืนเงียบสะงัด ฉันไม่สามารถอยู่คนเดียวกับทุกสิ่งที่อยู่ในใจของฉันได้ ดังนั้น พูดซิว่าคุณจะอยู่กับฉันคืนนี้ เพราะว่ามีสิ่งผิดปกติมาก มีสิ่งผิดปกติมาก มีสิ่งผิดปกติมากกำลังเกิดขึ้นนอกบ้านVocabulary Itemsain't comin' easily = ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆalive (adj) = มีชีวิตalone (adj) = อยู่ตามลำพัง อยู่คนเดียวconversation (n) = การสนทนาleave (v) = ออกจาก ละทิ้งon my mind = ในใจของฉันoutside (pre) = ข้างนอกบ้านplace (n) = สถานที่roll your eyes (v) = กลอกสายตาsomething (pro) = บางสิ่งบางอย่างtryna / try to (v) = พยายามที่จะExpressionsin the dead of night = ในคืนที่เงียบสงัดIt's getting late. = มันกำลังจะดึก มันกำลังจะสายTakes me back = เดินไปส่งฉันที่บ้านTryna stand up on my own two feet. = พยายามยืนด้วยลำแข็งของตนเอง พยายามช่วยเหลือตัวเองWalk me home = จงเดินไปส่งฉันที่บ้าน
8 กรกฎาคม 2563     |      329
Evergreen Tree
Evergreen Tree (ต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปีCliff Richardแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Oh darling, will our love be like an evergreen tree. Stay evergreen and young as the seasons go. Your kisses could make love grow like an evergreen tree. Bloom in the summer's sun and the winter's snow.โอ้...ที่รักความรักของเราจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปี คงเขียวขจีอยู่เสมอและอ่อนเยาว์ขณะที่ฤดูกาลผ่านไปหรือเปล่า? การจูบของคุณสามารถทำให้ความรักเติบโตเหมือนดั่งต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปี ออกดอกท่ามกลางแสงแดดในฤดูร้อนและหิมะในฤดูหนาว On every branch will blossom, Dreams for me and you. Our tree of love will stay evergreen, If our hearts stay ever true.บนทุกกิ่งก้านสาขาจะออกดอกเบ่งบาน ฝันถึงผมและคุณ ต้นไม้แห่งความรักของเราจะคงเขียวขจีตลอดไป ถ้าใจของเรายังคงซื่อสัตย์เหมือนเดิมOh darling, I love you so, don't you know that I'll be, True 'til the leaves turn blue on the evergreen tree.โอ้...ที่รักผมรักคุณมาก คุณไม่รู้หรือว่าผมจะ ซื่อสัตย์จนกระทั่งใบไม้ของต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปีกลายเป็นสีน้ำเงินOn every branch will blossom, Dreams for me and you. Our tree of love will stay evergreen, If our hearts stay ever true.บนทุกกิ่งก้านสาขาจะออกดอกเบ่งบาน ฝันถึงผมและคุณ ต้นไม้แห่งความรักของเราจะคงเขียวขจีตลอดไป ถ้าใจของเรายังคงซื่อสัตย์เหมือนเดิมOh darling, I love you so, don't you know that I'll be. True 'til the leaves turn blue on the evergreen tree. On the evergreen tree. On the evergreen tree.โอ้...ที่รัก ผมรักคุณมาก คุณไม่รู้หรือว่าผมจะ ซื่อสัตย์จนกระทั่งใบไม้ของต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปีกลายเป็นสีน้ำเงิน บนต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปี บนต้นไม้ที่มีใบเขียวตลอดปีVocabulary Itemsbloom (v) = ออกดอกblossom (v,n) = ออกดอก ดอกไม้ชนิดดอกเดี่ยว หรือดอกกลุ่มbranch (n) = กิ่งก้านสาขาของต้นไม้evergreen tree (n) = ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปี เช่น ต้นสนgrow (v) = เจริญงอกงามleaf, leaves (n) = ใบไม้season (n) = ฤดูกาลstay (v) = ยังคง คงอยู่summer's sun (n) = แสงแดดของฤดูร้อนtrue (adj) = ซื่อสัตย์turn blue (v) = กลายเป็นสีน้ำเงินwinter's snow (n) = หิมะของฤดุหนาว
3 กรกฎาคม 2563     |      1445
Let Me Love You
Let Me Love You (ขอให้ผมรักคุณเถอะD.J. Snakeแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์I used to believe We were burnin' on the edge of somethin' beautiful Somethin' beautiful Selling a dream Smoke and mirrors keep us waitin' on a miracle On a miracleผมเคยเชื่อว่า เรากำลังถูกเผาอยู่ที่ชายขอบของบางสิ่งที่สวยงาม บางสิ่งที่สวยงาม ขายความฝัน ควันและกระจกทำให้เรารอการปาฏิหาริย์ การปาฏิหาริย์[1] Say, go through the darkest of days Heaven's a heartbeat away Never let you go, never let me down Oh, it's been a hell of a ride Driving the edge of a knife Never let you go, never let me downพูดอีกอยางก็คือ ผ่านช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของวัน สวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป อย่าทำให้ผมผิดหวัง โอ้...มันเป็นนรกของการโดยสารรถยนต์ ขับรถไปตามขอบของมีด ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป อย่าทำให้ผมผิดหวัง[2] Don't you give up, nah-nah-nah I won't give up, nah-nah-nah Let me love you Let me love you Don't you give up, nah-nah-nah I won't give up, nah-nah-nah Let me love you Let me love you Oh baby, babyคุณไม่ยอมแพ้ใช่ไหม ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม ผมจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม ขอให้ผมรักคุณเถอะ ขอให้ผมรักคุณเถอะ คุณไม่ยอมแพ้ใช่ไหม ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม ผมจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม ขอให้ผมรักคุณเถอะ ขอให้ผมรักคุณเถอะ โอ้...ที่รัก ที่รักDon't fall asleep At the wheel, we've got a million miles ahead of us Miles ahead of us All that we need Is a rude awakening to know we're good enough Know we're good enoughอย่าเผลอหลับไป ที่พวงมาลัย เราต้องเดินทางไปข้างหน้าอีกเป็นล้านไมล์ ระยหทางเป็นไมล์ข้างหน้าของเรา นั่นคือทุกอย่างที่เราต้องการ เป็นการค้นพบที่น่าประหลาดใจและไม่รื่นรมย์ที่รู้ว่าเราดีพอ รู้ว่าเราดีพอ[1][2]Never let you go Never let you go Never let you go Never let you go Never let you go Never let you goไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไปNever let you go Never let you go Never let you go Never let you go (oh no no no no) Never let you go (yeah yeah) I'll never let you goไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไป ไม่มีวันปล่อยให้คุณไปโอ้...ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย ไม่มีวันปล่อยให้คุณไปใช่เลย ใช่เลย ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณไป[2]Vocabulary Itemsa ride (n) = การเดินทางโดยรถยนต์a rude awakening (n) = การค้นพบที่น่าประหลาดใจและไม่รื่นรมย์ahead of us = อยู่ด้านหน้าของเราbaby (n) = ที่รักbeautiful (adj) = สวยงามbelieve (v) = เชื่อburn (v) = เผาdarkest (adj) = มืดที่สุด ดำที่สุดDon't fall asleepอย่าเผลอหลับไปdream (v, n) = ฝัน ความฝันedge of a knife (n) = ขอบของมีด บริเวณที่มีอันตรายมากgive up (v) = ยอมแพ้go through (v) = เดินผ่าน ดำเนินการผ่านheartbeat away (adj) = ใกล้แค่เอื้อม ระยะทางอีกไม่ไกลก็ถึงจุดสูงสุดheaven (n) = สวรรค์hell (n) = นรกLet me love youขอให้ผมรักคุณเถอะlet someone down (v) = ทำให้ผิดหวังmillion (n) = หนึ่งล้านmiracle (n) = การปาฏิหาริย์on a miraclemirror (n) = กระจกwheel (n) = พวงมาลัยรถ
22 มิถุนายน 2563     |      494
Let’s Be Friends
Let’s Be Friends (ขอให้เราเป็นเพื่อนกันเถอะCarly Jepsenแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Call out your persuasions I got the feeling that you don't know what to say It's a, a black dress occasion Nobody's dying, it's a dinner not a date, but I Feel young and inspired That this is over and I'm hoping you'll agree so I Phase out and smile over That little phrase, it isn't you, baby, it's meวิจารณ์การโน้มน้าวใจของคุณ ฉันรู้สึกว่าคุณไม่รู้จะพูดอะไร มันเป็นโอกาสการแต่งชุดสีดำ ไม่มีใครกำลังตาย มันเป็นการกินอาหารมื้อเย็น ไม่ใช่การนัดหมายของคู่รัก แต่ฉัน รู้สึกเยาว์วัยและมีแรงบันดาลใจ นั่นมันจบสิ้นแล้ว และฉันหวังว่าคุณจะเห็นด้วย ดังนั้นฉัน จึงค่อยๆออกห่างแล้วยิ้มอย่างกระตือรือร้นให้กับ วลีเล็ก ๆ นั่น มันไม่ใช่คุณนะที่รัก มันเป็นฉัน[1] So take the tarot card and tell a fortune gold The past heartbreaks, the lies we told, we tell againLet's be friends then never speak again It's cool, we can just pretend We're friends and never speak again See you soon, hope we can remain good friendsดังนั้น จงดึงไพ่แทโรต์ออกมาและบอกทองคำโชคลาภ ความปวดใจที่ผ่านมา การโกหกที่เราพูด เราพูดอีกครั้ง มาเป็นเพื่อนกันเถอะ แล้วอย่าพูดถึงอีกเลย มันยอดเยี่ยม เราเพียงแค่แสร้งทำ เราเป็นเพื่อนกันและอย่าพูดถึงอีกเลย พบคุณเร็ว ๆ นี้ หวังว่าเรายังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะYou take it, the bottle down Man, this is easier than how I thought it'd go You're smiling like a devil You tell me you were coming here to let me know that It's over when it's over And it's over, babyคุณเอาขวดเหล้าไป รินเหล้าลง เพื่อนเอ๋ย นี่ง่ายกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก คุณกำลังยิ้ม เหมือนปีศาจ คุณบอกฉันว่า คุณกำลังมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ฉันทราบว่า มันจบสิ้นแล้ว เมื่อมันจบสิ้นแล้ว และมันจบสิ้นแล้ว ที่รัก[1][3] Never gonna see you again (See you never) Let's be friends (Catch you later) Never gonna see you again (See you never)ไม่ต้องเจอคุณอีก ไม่พบคุณอีกเลย) มาเป็นเพื่อนกันเถอะ เจอคุณภายหลังนะ) ไม่ต้องเจอคุณอีก ไม่พบคุณอีกเลย)I had a really nice time with you I mean, you're sort of a dick sometimes but Someone out there is surely gonna love a dick Uh, check please?ฉันมีช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆกับคุณ ฉันหมายถึงบางครั้งคุณก็เป็นคนประเภทน่ารักน่าเอ็นดู แต่ ใครบางคนข้างนอกคงจะรักคนน่ารักน่าเอ็นดู เอ่อ โปรดตรวจสอบได้มั้ย?[2] Let's be friends then never speak again It's cool, we can just pretend We're friends and never speak again See you soon, hope we can remain good friendsมาเป็นเพื่อนกันเถอะอย่าพูดอีกเลย มันยอดเยี่ยมเราแค่แกล้งทำเป็น เราเป็นเพื่อนกันและไม่พูดอีกเลย แล้วพบกันเร็ว ๆ นี้หวังว่าเราจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน[3]Let's be friends Let's be Friends Not really thoughมาเป็นเพื่อนกันเถอะ ขอให้เราเป็น เพื่อนกันเถอะ ไม่เป็นจริง ๆก็ได้นะVocabulary Itemsagree (v) = เห็นด้วยcall out (v) = วิจารณ์ ตำหนิ ร้องตะโกนdate (n) = การนัดหมายของคู่รักdevil (n) = ปีศาจdick (n) = คนน่ารักน่าเอ็นดู อวัยวะเพศชาย (slang) dying (n) = การกำลังตายfeel young and inspired. = รู้สึกเยาว์วัยและมีแรงบันดาลใจ ฉันรู้สึกเป็นสาวกว่าวัยและรู้สึกกระชุ่มกระชวยheartbreak (n) = อาการอกหัก lies (n) = การโกหกoccasion (n) = โอกาสpersuasion (n) = การโน้มน้าวใจphase out (v) = ค่อยๆถอยห่างphrase (n) = วลีpretend (v) = แสร้งทำremain (v) = ยังคงอยู่เหมือนเดิมsmile over (v) = ยิ้มอย่างกระตือรือร้นsort of (n) = ประเภท ชนิด แบบว่าtarot card (n) = ไพ่รูปภาพใช้เพื่อการทำนายโชคชะตา ชุดหนึ่งมี 22 ใบExpressionsIt's coolมันยอดเยี่ยมIt's over, babyมันจบสิ้นแล้ว ที่รักNot really thoughไม่เป็นจริง ๆก็ได้นะSomeone out there is surely gonna love a dick. = ใครบางคนข้างนอกคงจะรักคนน่ารักน่าเอ็นดูThis is over = มันจบสิ้นแล้ว We can remain good friends เรายังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้You take it, the bottle downคุณเอาขวดเหล้าไป รินเหล้าลงYou're sort of a dick. = คุณก็เป็นคนประเภทน่ารักน่าเอ็นดู (slang)
22 มิถุนายน 2563     |      429
Let You Love Me
Let You Love Me (ปล่อยให้คุณรักฉันRita Oraแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์I should've stayed with you last night Instead of going out to find trouble That's just trouble (yeah) I think I run away sometimes Whenever I get too vulnerable That's not your fault (yeah)ฉันควรจะได้อยู่กับคุณเมื่อคืนนี้ แทนที่จะออกไปหาปัญหา นั่นเป็นเพียงปัญหา (ใช่แล้ว) ฉันคิดว่าบางครั้งฉันวิ่งหนี เมื่อใดก็ตามที่ฉันได้รับความเสี่ยงเกินไป นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ (ใช่เลย)[1] See I wanna stay the whole night I wanna lay with you till the sun's up I wanna let you inside Oh, heaven knows I've triedเห็นไหมฉันอยากอยู่ทั้งคืน ฉันอยากหลับนอนมีเพศสัมพันธ์กับคุณจนพระอาทิตย์ขึ้น ฉันอยากปล่อยให้คุณอยู่ข้างในฉัน ฉันอยากปล่อยให้คุณมีเพศสัมพันธ์กับฉัน สวรรค์รู้ว่าฉันได้พยายามแล้ว[2] I wish that I could I let you love Wish that I could let you love me I wish that I could I let you love Wish that I could let you love me Say what's the matter, what's the matter with me? What's the matter with me? Oh, I wish that I could I let you love Wish that I could let you love me now I wish, I wish, I wish, I wish, I I wish, I wish, I wish, I wish, Iฉันปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้ ปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้ ฉันปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้ ปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้ พูดซิว่า เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับฉัน เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? โอ้...ฉันปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้ ปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้ตอนนี้ ฉันปรารถนา ฉันปรารถนา ฉันปรารถนา ฉันปรารถนา ฉันปรารถนา ฉันปรารถนา ฉันปรารถนา ฉันปรารถนาAnd every time it gets too real And every time I feel like sabotaging I start running again And every time I push away I really wanna say that I'm sorry (yeah) But I say nothing (yeah)และทุกครั้งที่มันกลายเป็นจริงเกินไป และทุกครั้งที่ฉันรู้สึกอยากก่อวินาศกรรม ฉันเริ่มออกวิ่งหนีอีกครั้ง และทุกครั้งที่ฉันปัดเรื่องนี้ออกไป ฉันอยากจะบอกว่าฉันขอโทษ (ใช่แล้ว) แต่ฉันไม่พูดอะไร (ใช่แล้ว)[1][2]I wish to stay with you till the morning (I wanna) lay with you through the sunrise (I wanna) show you that you're mine only (I wanna lay with you till the sun's up) (I wanna) stay with you till the morning (I wanna) lay with you through the sunrise, through the sunrise Oh, heaven knows I've triedฉันปรารถนาที่จะอยู่กับคุณจนถึงเช้า ฉันต้องการ) หลับนอนมีเพศสัมพันธ์กับคุณจนพระอาทิตย์ขึ้น ฉันต้องการ) แสดงให้คุณเห็นว่าคุณเป็นของฉันเท่านั้น ฉันอยากหลับนอนมีเพศสัมพันธ์กับคุณจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น) ฉันต้องการ) อยู่กับคุณจนถึงเช้า ฉันต้องการ) หลับนอนมีเพศสัมพันธ์กับคุณจนพระอาทิตย์ขึ้น จนพระอาทิตย์ขึ้น โอ้...สวรรค์รู้ว่าฉันได้พยายามแล้ว[2]Vocabulary Itemsfault (n) = ความผิดheaven (n) = สวรรค์lay with (v) = มีเพศสัมพันธ์กับ (slang) push away (v) = ปัดเรื่องออกไป ปัดปัญหาออกไปrun away (v) = วิ่งหนีsunrise (n) = ดวงอาทิตย์ขึ้นsun's up (n) = ดวงอาทิตย์ขึ้นtrouble (n) = ปัญหาvulnerable (adj) = เสี่ยงอันตรายwhole (adj) = ทั้งหมดExpressionsAnd every time it gets too real. = และทุกครั้งที่มันกลายเป็นจริงเกินไปI should've stayed with you last night. = ฉันควรจะได้อยู่กับคุณเมื่อคืนนี้แต่ฉันไม่ได้อยู่I wanna lay with you. = ฉันอยากหลับนอนมีเพศสัมพันธ์กับคุณI wanna lie with you. = ฉันอยากนอนอาจมีเพศสัมพันธ์กับคุณI wanna let you inside. = ฉันอยากปล่อยให้คุณอยู่ข้างในฉัน ฉันอยากปล่อยให้คุณมีเพศสัมพันธ์กับฉันI wish that I could I let you love. ฉันปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้แต่ฉันทำไม่ได้What's the matter with me? = เกิดอะไรขึ้นกับฉันอะไรคือปัญหาของฉัน?What's the matter? = เกิดอะไรขึ้น อะไรคือปัญหา?GrammarMood (มาลาคือกลุ่มคำในประโยคที่แสดงคุณภาพหรือรูปแบบของคำกริยา มีหลายอย่าง แต่ในเพลงนี้ที่สำคัญมีอยู่ 2 moods คือ Conditional Moodมาลาเชิงเงื่อนไข ได้แก่ประโยคที่แสดงเงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน ซึ่งมักใช้คำกริยา would, should, would like และ should have เป็นต้น เช่นI should have stayed with you last night. = ฉันควรจะได้อยู่กับคุณเมื่อคืนนี้แต่ฉันไม่ได้อยู่If I lived in Denmark, I would write a book about travelling. = ถ้าฉันอยู่ที่เดนมาร์กฉังคงจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันเลยไม่ได้เขียนหนังสือดังกล่าวSubjunctive Moodมาลาเชิงจินตนาการและปรารถนาได้แก่ประโยคที่แสดงสมมติฐาน จินตนาการ สงสัย หรือปรารถนา แต่ทำไม่ได้จริง เช่น I wish that I could I let you love. ฉันปรารถนาว่าฉันสามารถปล่อยให้คุณรักฉันได้แต่ฉันทำไม่ได้I wanna lay with you. = ฉันอยากหลับนอนมีเพศสัมพันธ์กับคุณแต่ฉันทำไม่ได้
22 มิถุนายน 2563     |      260
Love Me Like You Do
Love Me Like You Do (รักฉันอย่างที่คุณรักEllie Gouldingแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์You're the light, you're the night You're the color of my blood You're the cure, you're the pain You're the only thing I wanna touch Never knew that it could mean so much, so muchคุณคือแสงสว่าง คุณคือกลางคืน            คุณคือสีของเลือดของฉัน            คุณคือการรักษา คุณคือความเจ็บปวด            คุณคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ฉันต้องการสัมผัส            ไม่เคยรู้เลยว่าคุณจะมีความหมายมากมาย มากมายYou're the feel, I don't care ‘Cause I've never been so high Follow me to the dark Let me take you past our satellites You can see the world you brought to life, to lifeคุณคือความรู้สึก ฉันไม่สนใจใยดีเพราะว่าฉันไม่เคยมีความสุขมากมาก่อนเลยจงตามฉันไปสู่ความมืดขอให้ฉันพาคุณผ่านดาวเทียมของเราคุณสามารถมองเห็นโลกที่คุณช่วยให้มีชีวิต ช่วยให้มีชีวิต[1] So love me like you do, love me like you do Love me like you do, love me like you do Touch me like you do, touch me like you do What are you waiting for?ดังนั้น จงรักฉันอย่างที่คุณรัก รักฉันอย่างที่คุณรักรักฉันอย่างที่คุณรัก รักฉันอย่างที่คุณรักสัมผัสฉันอย่างที่คุณสัมผัส สัมผัสฉันอย่างที่คุณสัมผัสคุณจะรออะไรอยู่อีกล่ะ?Fading in, fading out On the edge of paradise Every inch of your skin is a holy grail I've got to find Only you can set my heart on fire, on fireเดี๋ยวมา เดี๋ยวไปบนขอบของสวรรค์ทุกตารางนิ้วของผิวหนังของคุณคือสิ่งที่หายากมากที่ฉันจะต้องค้นให้พบคุณเท่านั้นที่จะทำให้หัวใจของฉันมีความเร้าร้อนได้ มีความเร้าร้อนได้[2] Yeah, I'll let you set the pace 'Cause I'm not thinking straight My head spinning around I can't see clear no more What are you waiting for?ใช่เลย ฉันจะปล่อยให้คุณดำเนินจังหวะเพราะว่าฉันคิดไม่ออกหัวของฉันหมุนวิงเวียน ฉันไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอีกแล้วคุณจะรออะไรอยู่อีกล่ะ?[1] x 2[2][1] x 2Vocabulary Itemsblood (n) = เลือดclear (adj) = ชัดเจนcolor (n) = สีcure (n) = การรกัษาfade in (v) = ค่อยๆเห็นชัดเจนขึ้นfade out (v) = ค่อยๆเลือนหายไปfollow (v) = ติดตามholy grail (n) = สิ่งที่หายากมาก ถ้วยที่พระเยชูใช้ดื่มในวาระสุดท้ายlight (n) = แสงสว่างnight (n) = กลางคืนpain (n) = ความเจ็บปวดsatellite (n) = ดาวเทียมspin around (v) = หมุนไปรอบๆ หมุนเหมือนลูกข่างthink straight (v) = คิดออก คิดได้touch (v) = สัมผัสExpressionsFading in, fading out = เดี๋ยวมา เดี๋ยวไปI don't care. = ฉันไม่สนใจใยดีI'll let you set the pace. = ฉันจะปล่อยให้คุณดำเนินจังหวะI'm not thinking straight. = ฉันคิดไม่ออกI've never been so high. = ฉันไม่เคยมีความสุขมากมาก่อนเลยLove me like you do. = จงรักฉันอย่างที่คุณรักOn the edge of paradise = บนขอบของสวรรค์ไม่เข้าไปในสวรรค์เสียทีOnly you can set my heart on fire. คุณเท่านั้นที่จะทำให้หัวใจของฉันมีความเร้าร้อนได้ Set something on fire = เผาบางอย่าง ทำให้บางอย่างลุกเป็นไฟThe world you brought to life. = โลกที่คุณช่วยให้มีชีวิตTouch me like you do. = สัมผัสฉันอย่างที่คุณสัมผัสWhat are you waiting for? = คุณจะรออะไรอยู่อีกล่ะ?
22 มิถุนายน 2563     |      3997
You Don’t Have to Say You Love Me
You Don’t Have to Say You Love Meคุณไม่จำเป็นต้องบอกว่ารักฉันDusty Springfieldแปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์When I say I needed youYou said you would always stayIt wasn’t me who changed, but youAnd now you’ve gone awayDon’t you see that now you’ve gone awayAnd I’m left here on my ownThat I have to follow youAnd beg you to come homeเมื่อฉันพูดว่าฉันต้องการคุณ            คุณพูดว่าคุณจะอยู่ด้วยเสมอ            มันไม่ใช่ฉันที่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าเป็นคุณ            และตอนนี้คุณก็ได้หนีจากไปแล้ว            คุณไม่เห็นหรือว่า ตอนนี้คุณได้หนีจากไปแล้ว            และฉันถูกทิ้งไว้ที่นี่ตามลำพัง            ซึ่งฉันต้องติดตามคุณ            และข้อร้องให้คุณกลับบ้านYou don’t have to say you love me, just be close at handYou don’t have to stay forever, I will understandBelieve me, believe me…I can’t help but love youBut believe me, I’ll never tie you downLeft alone with just a memoryLife seems dead and so unrealAll that’s left is lonelinessThere’s nothing left to feel            คุณไม่จำเป็นต้องพูดว่าคุณรักฉัน เพียงแต่อยู่ใกล้ๆเท่านั้นก็พอ            คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ฉันจะเข้าใจ            เชื่อฉันเถอะนะ เชื่อฉันซิ...            ฉันช่วยไม่ได้นอกจากรักคุณ            แต่ว่าเชื่อฉันเถอะนะ ฉันจะไม่มีวันผูกมัดคุณไว้            ยกเว้นเพียงเพื่อความทรงจำเท่านั้น            ชีวิตดูเหมือนตายซากและไม่เป็นความจริงเลย            ทุกอย่างที่เหลือทิ้งไว้คือความอ้างว้างไม่มีอะไรเหลือให้มีความรู้สึกเลยYou don’t have to say you love me, just be close at handYou don’t have to stay forever, I will understandBelieve me, believe me…You don’t have to say you love me, just be close at handYou don’t have to stay forever, I will understandBelieve me, believe me…Believe me …….            คุณไม่จำเป็นต้องพูดว่าคุณรักฉัน เพียงแต่อยู่ใกล้ๆเท่านั้นก็พอ            คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ฉันจะเข้าใจ            เชื่อฉันเถอะนะ เชื่อฉันซิ...            คุณไม่จำเป็นต้องพูดว่าคุณรักฉัน เพียงแต่อยู่ใกล้ๆเท่านั้นก็พอ            คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ฉันจะเข้าใจ            เชื่อฉันเถอะนะ เชื่อฉันซิ...            เชื่อฉันซิ...Vocabulary Itemsbeg (v) = ขอร้อง อ้อนวอนbelieve (v) = เชื่อ เชื่อถือchange (v) = เปลี่ยนแปลงclose at hand (adj) = ใกล้แค่เอื้อม อยู่ใกลๆdead (adj) = ตาย ไร้ชีวิตชีวา ตายซากfollow (v) = ตาม ติดตามforever (adv) = ชั่วนิจนิรันดร์ ตลอดไปhave to (v) = ต้องleave, left, left (v) = ละทิ้ง ถูกละทิ้งleft alone with (v) = ยกเว้น เว้นแต่life (n) = ชีวิตloneliness (n) = ความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยว ความเหงาmemory (n) = ความทรงจกneed (v) = ต้องการอย่างยิ่งon my own = ตามลำพังของฉันเองseem (v) = ดูเหมือนว่าThere’s nothing left to feelไม่มีอะไรเหลือให้มีความรู้สึกเลยtie down (v) = ผูกมัดไว้understand (v) = เข้าใจunreal (adj) = ไม่เหมือนจริง ไม่เป็นจริงYou’ve gone away. = คุณได้หนีจากไปแล้วGrammarPresent Perfect Tense (to have + pp) ใช้แสดงแหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตที่ไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอน แล้วมีผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และอาจต่อเนื่องไปยังอนาคตได้ เช่น You’ve gone away. = คุณได้หนีจากไปแล้ว หนีไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาก และในอนาคตก็อาจไม่กลับมาก็ได้
18 มิถุนายน 2563     |      2439
Whispering Hope
Whispering Hope (ความหวังเงียบ ๆMary Duffแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Soft as the voice of an angel Breathing a lesson unheard Hope with a gentle persuasion Whispers a comforting word.อ่อนโยนเหมือนเสียงของนางฟ้า หายใจเอาบทเรียนที่ไม่เคยได้ยิน หวังด้วยการโน้มน้าวใจที่อ่อนโยน กระซิบคำปลอบโยนWait, 'till the darkness is over Wait, 'till the tempest is done Hope, for the sunshine tomorrow After the darkness is gone.รอจนกว่าความมืดสิ้นสุดลง รอจนกว่าพายุที่รุนแรงผ่านพ้นไป หวังจะพบแสงสว่างวันพรุ่งนี้ หลังจากความมืดหายไปWhispering hope, Oh how welcome Thy voice Making my heart In it's sorrow rejoice.ความหวังเงียบ ๆ โอ้...เสียงของท่านช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร ทำให้ใจของฉัน ในความเศร้าโศกมีความร่าเริงหรรษาIf in the dusk of the twilight Dimmed be the region afar Will not the deepening darkness Brighten the glittering star.ถ้าในความมืดมัวยามพลบค่ำ จางหายไป ภูมิภาคที่ห่างไกล จะไม่มืดมิด จุดประกายให้ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับThen when the night is upon us Why should the heart sink away When the dark midnight is over Watch for the breaking of day.และเมื่อเวลากลางคืนเกิดกับพวกเรา ทำไมหัวใจจึงต้องจมลงลึก เมื่อเวลาเที่ยงคืนมืดมิดสิ้นสุดลง รอดูรุ่งอรุณของวันใหม่Whispering hope, Oh how welcome Thy voice Making my heart In it's sorrow rejoiceความหวังเงียบ ๆ โอ้...เสียงของท่านช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร ทำให้ใจของฉัน ในความเศร้าโศกมีความร่าเริงหรรษาVocabulary Itemsafar (adv) = ห่างไกลมากangel (n) = นางฟ้า เทวดาbreathe (v) = หายใจbrighten (v) = ทำให้สว่างcomfort (v) = ปลอบโยนdarkness (n) = ความมืดdeepen (v) = ทำให้ลึก ทำให้มีมากขึ้น dim (v) = หรี่แสงลง ค่อยๆจางหายไป dusk (n) = ความมืดมัวgentle (adj) = สุภาพglittering (adj) = ส่องแสงระยิบระยับmidnight (n) = เวลาเที่ยงคืนpersuasion (n) = การโน้มน้าว การชักจูง การจูงใจregion (n) = บริเวณ อาณาเขตrejoice (v) = ทำให้มีความร่าเริงหรรษาsink away (v) = จมลงลึกsoft (adj) = อ่อนนุ่ม อ่อนโยนsorrow (n) = ความเศร้าโศกsunshine (n) = แสงแดด แสงสว่างtempest (n) = พายุที่รุนแรงtwilight (n) = ยามพลบค่ำunheard (pp) = ไม่ได้ยินเสียงwatch (v) = เฝ้ามองดูwhisper (v) = กระซิบwhispering (adj) = การกระซิบ ความลับส่วนบุคคลExpressionsHow welcome thy voiceเสียงของท่านช่างน่ายินดีเสียนี่กระไร the breaking of day = เวลารุ่งอรุณ
18 มิถุนายน 2563     |      337
There Is a Place - Liam Lawton
There Is A Place (มีสถานที่แห่งหนึ่งLiam Lawtonแปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์There's a time for remembering, a time to recall The trials and the triumphs, the fears and the falls. There's a time to be grateful for the moments so blest: The jewels of our memory where love is our guest.มีเวลาสำหรับการจดจำ เวลาในการระลึกถึง การทดลองและชัยชนะ ความกลัวและความล้มเหลว มีเวลาที่จะขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่มีความสุขมาก: อัญมณีแห่งความทรงจำของเราที่ซึ่งความรักคือแขกของเราThere is gold that is gleaming in a past we once knew: In our tears and our laughter, 'twas love brought us through. There's a road we have travelled where sunlight has kissed, That carries us onwards when loved ones are missed.มีทองคำซึ่งมีประกายแวววาว ในอดีตครั้งหนึ่งเราเคยรู้จัก: ในคราบน้ำตาของเราและเสียงหัวเราะของเรา นั่นคือความรักที่ได้นำเราผ่านพ้นอุปสรรคได้ มีถนนที่เราเดินทางไปแล้ว ที่ซึ่งมีแสงแดดส่องถึง ซึ่งได้นำเราดำเนินมาเรื่อย ๆ เมื่อคนที่เรารักได้รับการคิดถึงThere is treasure in our fields. There is treasure in our skies. There is treasure in our dreaming from the soul to the eye; For wherever we gather in the light of God's grace, And for all whom we remember, there will ever be a place.มีสมบัติอยู่ในทุ่งนาของเรา มีสมบัติอยู่บนท้องฟ้าของเรา มีสมบัติในความฝันของเรา จากดวงวิญญาณสู่สายตา สำหรับทุกที่ที่เรารวมตัวกันด้วยแสงแห่งพระคุณของพระเจ้า สำหรับที่ใดก็ได้ที่เรามารวมกัน ในแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ และสำหรับทุกคนที่เราจดจำได้ จะมีสถานที่แห่งหนึ่งอยู่เสมอThere's a promise of God that is written in the stars For all who may travel, no matter how far. God will be your companion, each journey you make In the shadow of loved ones, to lighten your way.มีคำสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเขียนไว้ในดวงดาว สำหรับทุกคนที่อาจเดินทาง ไม่ว่าไกลแค่ไหน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นสหายของคุณ สำหรับการการเดินทางแต่ละครั้งของคุณ ในเงาของผู้ที่คุณรัก เพื่อให้แสงสว่างบนเส้นทางของคุณ In the quiet of the evening, at the close of the day, We will rest on the journey. To the Lord we shall pray. May we thank God for blessings, for the moments we've shared. As we seek for tomorrow, close by us you'll stay.ในความเงียบสงบของยามเย็น ณ ช่วงเวลากลางวันสิ้นสุด เราจะหยุดพักผ่อนการเดินทาง เราจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพรในช่วงเวลาที่เราได้อยู่ร่วมกัน ในขณะที่เราแสวงหาวันพรุ่งนี้ คุณจะยังอยู่ใกล้กับเราVocabulary Itemsblessed (pp) = มีความสุขมากbring someone through = นำพาบางคนผ่านพ้นอุปสรรคcarry someone onwards = นำพาบางคนไปเรื่อย ๆfall (n) = ความล้มเหลวfear (n) = ความกลัวfeat (n) = อาหาร งานเลี่ยงฉลองgather (v) = รวมกันgleam (v) = ส่องแสงแวววับgold (n) = ทองคำgrateful (adj) = ขอบคุณjewel (n) = อัญมณีlaughter (n) = การหัวเราะlighten (v) = ให้แสงสว่างmemory (n) = ความทรงจำpromise (v, n) = สัญญา คำสัญญาquiet (adj, n) = สงบเงียบ ที่สงบเงียบ ความสงบเงียบrecall (v) = ระลึกถึงremembering (n) = การจดจำshadow (n) = เงาsunlight (n) = แสงอาทิตย์treasure (n) = ทรัพย์สมบัติtrial (n) = การทดลอง การลองผิดลองถูกtriumph (n) = ชัยชนะt'was = this was, that was
18 มิถุนายน 2563     |      279
There Is a Place - James Kilbane
There Is a Placeมีสถานที่แห่งหนึ่งJames Kilbaneแปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์There's a time for remembering A time to recall The trials and triumphs The fears and the falls There's a time to be grateful For the moments so blessed The jewels of our memory Where love is our guestมีเวลาสำหรับการจดจำ เวลาในการระลึกถึง การทดลองและชัยชนะ ความกลัวและความล้มเหลว มีเวลาที่จะขอบคุณ สำหรับช่วงเวลาที่มีความสุขมาก อัญมณีแห่งความทรงจำของเรา ที่ซึ่งความรักคือแขกของเราThere is gold that is gleaming In a past we once knew In our tears and our laughter T'was love brought us through There's a road we have travelled Where sunlight has kissed That carries us onwards When loved ones are missedมีทองซึ่งมีประกายแวววาว ในอดีตครั้งหนึ่งเราเคยรู้จัก ในคราบน้ำตาและเสียงหัวเราะของเรา นั่นคือความรักที่ได้นำเราผ่านพ้นอุปสรรคได้ มีถนนที่เราเคยได้เดินทางไปแล้ว ที่ซึ่งมีแสงแดดส่องถึง ซึ่งได้นำพาเราดำเนินมาเรื่อย ๆ เมื่อคนที่เรารักได้รับการคิดถึง[1] There is treasure in our fields There is treasure in our skies There is treasure in our dreaming From the soul to the eye For wherever we gather In the light of God's grace And for all whom we remember There will ever be a placeมีทรัพย์สมบัติในทุ่งนาของเรา มีทรัพย์สมบัติในท้องฟ้าของเรา มีทรัพย์สมบัติในความฝันของเรา จากดวงวิญญาณสู่สายตา สำหรับที่ใดก็ได้ที่เรามารวมกัน ในแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ และสำหรับทุกคนที่เราจดจำได้ จะมีสถานที่แห่งหนึ่งอยู่เสมอIn the quiet of the evening At the close of the day We will rest on our journey To the Lord we shall pray May we thank God for blessings For the moments we shared As we seek for tomorrow Close by us you'll stayในความเงียบสงบของยามเย็น ณ ช่วงเวลากลางวันสิ้นสุด เราจะหยุดพักผ่อนการเดินทาง เราจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพร ในช่วงเวลาที่เราได้อยู่ร่วมกัน ในขณะที่เราแสวงหาวันพรุ่งนี้ คุณจะยังอยู่ใกล้กับเรา[1]Vocabulary Itemsblessed (pp) = มีความสุขมากbring someone through = นำพาบางคนผ่านพ้นอุปสรรคcarry someone onwards = นำพาบางคนไปเรื่อย ๆfall (n) = ความล้มเหลวfear (n) = ความกลัวfeat (n) = อาหาร งานเลี่ยงฉลองgather (v) = รวมกันgleam (v) = ส่องแสงแวววับgold (n) = ทองคำgrateful (adj) = ขอบคุณjewel (n) = อัญมณีlaughter (n) = การหัวเราะlighten (v) = ให้แสงสว่างmemory (n) = ความทรงจำpromise (v, n) = สัญญา คำสัญญาquiet (adj, n) = สงบเงียบ ที่สงบเงียบ ความสงบเงียบrecall (v) = ระลึกถึงremembering (n) = การจดจำshadow (n) = เงาsunlight (n) = แสงอาทิตย์treasure (n) = ทรัพย์สมบัติtrial (n) = การทดลอง การลองผิดลองถูกtriumph (n) = ชัยชนะt'was = this was, that was
18 มิถุนายน 2563     |      264
There Is a Place - Wild Rose
There Is a Place (มีสถานที่แห่งหนึ่งWild Roseแปลโดย รศ.ดร. สุพัฒน์  สุกมลสันต์There is a place where you can always go, come with meWhere it’s alright to let your feelings show, come with meWhat a pleasant journeyIt isn’t very farWe can go togetherStay right where you areNow it’s time to startIt’s right here in your heartมีสถานที่แห่งหนึ่ง ที่คุณสามารถไปได้เสมอ มากับฉันซิ            มันเป็นสถานที่ดีที่จะปลดปล่อยความรู้สึกของคุณ มากับฉันซิ            มันช่างเป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์เสียนี่กระไร            มันไม่ไกลมาก            เราสามารถไปด้วยกันได้            อยู่ตรงที่คุณอยู่นั่นแหละ            ตอนนี้มันถึงเวลาเริ่มต้นแล้ว            มันอยู่ตรงนี้เลยที่หัวใจของคุณThere is a place where you can be yourself, come with meAnd it’s a place where you can feel yourself, come with meAnd you know it’s waiting not so far awayNeed no reservationsWe can go todayNow it’s time to startIt’s right here in your heartAnd the light shines through each window and the door is open wideAnd each question has an answerIf you only look inside            มีสถานที่แห่งหนึ่งที่คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ มากับฉันซิ            และมันเป็นสถานที่ที่คุณสามารถรู้สึกเป็นตัวของคุณ มากับฉันซิ            และคุณรู้ว่ามันรอคอยอยู่ไม่ห่างไกลมาก            ไม่จำเป็นต้องจอง            คุสามารถไปได้วันนี้            ตอนนี้มันถึงเวลาเริ่มต้น            มันอยู่ตรงนี้เลยที่หัวใจของคุณ            และมีแสงส่องผ่านหน้าต่างแต่ละบาน และประตูก็เปิดกว้าง            และแต่ละคำถามมีคำตอบ            ถ้าเพียงแต่คุณมองเข้าไปภายในThere s a place where every sorrow ends, come with meWhere every hope and every truth begins, come with meWhat a peasant journeyIt isn’t very farWe can go togetherStay right where you areNow it’s time to startIt’s right here in your heart            มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ความโศกเศร้าทุกอย่างสุดสุดลง มากับฉันซิ            ที่ทุกความหวังและทุกความจริงเริ่มต้น มากับฉันซิ            มันช่างเป็นการเดินทางที่น่ารื่นรมย์เสียนี่กระไร            มันอยู่ไม่ไกลมาก            เราสามารถไปด้วยกันได้            อยู่ตรงที่คุณอยู่นั่นแหละ            ตอนนี้มันถึงเวลาเริ่มต้นแล้ว            มันอยู่ตรงนี้เลยที่หัวใจของคุณAnd now it’s time to startIt’s right here in your heartNow it’s time to startIt’s right here in your heartNow it’s time to startIt’s right here in your heart            ตอนนี้มันถึงเวลาเริ่มต้นแล้ว            มันอยู่ตรงนี้เลยที่หัวใจของคุณ            ตอนนี้มันถึงเวลาเริ่มต้นแล้ว            มันอยู่ตรงนี้เลยที่หัวใจของคุณ            ตอนนี้มันถึงเวลาเริ่มต้นแล้ว            มันอยู่ตรงนี้เลยที่หัวใจของคุณVocabulary Itemsalright (adj) = ดี ใช้ได้ far (adj) = ไกลhope (n) = ความหวังjourney (n) = การเดินทางlight (n) = แสงสว่างplace (n) = สถานที่pleasant (adj) = รื่นรมย์ หรรษาright here = ตรงนี้เลยshine (v) = ส่องแสงsorrow (n) = ความโศกเศร้าStay right where you are. = อยู่ตรงที่คุณอยู่นั่นแหละto let your feelings show = ปลดปล่อยอารมณ์ของคุณให้ปรากฏออกมาtruth (n) = ความจริงwhere you can be yourself = ที่คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้where you can feel yourself = คุณสามารถรู้สึกเป็นตัวของคุณได้
18 มิถุนายน 2563     |      254
If I Can’t Have You - Yvonne Elliman
If I Can’t Have You (ถ้าฉันไม่มีคุณYvonne Ellimanแปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์  สุกมลสันต์Don't know why I'm survivin' ev'ry lonely day When there's got to be no chance for me My life would endAnd it doesn't matter how I cry My tears, so far, are a waste of time If I turn away Am I strong enough to see it through Go crazy is what I will doไม่รู้ว่าทำไม ฉันจึงรอดชีวิตมาได้ทุก ๆวันที่มันโดดเดี่ยว เมื่อไม่มีโอกาสสำหรับฉันเลย ชีวิตของฉันควรจะจบลง และมันไม่ได้ผลแม้ว่าฉันจะร้องไห้อย่างไรก็ตาม น้ำตาของฉันจนถึงบัดนี้มันเสียเวลาเปล่า ถ้าฉันหันหลังให้ ฉันแข็งแกร่งพอที่จะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ไหม? ฉันคงจะต้องเป็นบ้าในไม่ช้า[1] If I can't have you I don't want nobody baby If I can't have you, uh-huh, oh If I can't have you I don't want nobody baby If I can't have you, uh-ho, oh oh oh            ถ้าฉันไม่มีคุณ             ฉันไม่ต้องการใครอื่น ที่รัก             ถ้าฉันไม่มีคุณ โอ้...             ถ้าฉันไม่มีคุณ             ฉันไม่ต้องการใครอื่น ที่รัก             ถ้าฉันไม่มีคุณ โอ้...โอ้...โอ้...Can't let go and it doesn't matter how I try I gave it up So easily To you my love To dreams that never will come true Am I strong enough to see it through Go crazy is what I will doไม่อาจปล่อยวางได้ และมันไม่ได้ผลไม่ว่าฉันจะพยายามอย่างไรก็ตาม ฉันยอมแพ้ อย่างง่ายดาย แก่คุณ ที่รักของฉัน แด่ความความฝันที่ไม่เป็นจริงได้เลย ฉันแข็งแกร่งพอที่จะผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ไหม? ฉันคงจะต้องเป็นบ้าในไม่ช้า[1] x 3If I can't have youถ้าฉันไม่มีคุณVocabulary Itemschance (n) = โอกาสeasily (adv) = ง่ายมาก อย่างง่ายดายenough (adv) = เพียงพอ อย่างเพียงพอev'ry = every (adj) = ทุก ๆlonely (adj) = โดดเดี่ยว อยู่ตามลำพังstrong (adj) = แข็งแรงsurvive /survivin' (v) = มีชีวิตรอด รอดชีวิตturn away (v) = กลับหลังหันหนีไป เบือนหน้าหนีExpressionsCan't let go and it doesn't matter how I try. = ไม่อาจปล่อยวางได้ และมันไม่ได้ผลไม่ว่าฉันจะพยายามอย่างไรก็ตามGo crazy is what I will do. = ฉันคงจะต้องเป็นบ้าในไม่ช้าI don't want nobody. = ฉันไม่ต้องการใครอื่น I gave it up. = ฉันยอมแพ้ It doesn't matter how I cry. = มันไม่ได้ผลแม้ว่าฉันจะร้องไห้อย่างไรก็ตามMy life would endชีวิตของฉันควรจะจบลงMy tears are a waste of timeน้ำตาของฉันมันเสียเวลาเปล่าTo dreams that never will come trueแด่ความความฝันที่ไม่เป็นจริงได้เลย
18 มิถุนายน 2563     |      685
ทั้งหมด 42 หน้า