Falling Rain (สายฝน – ฝนกำลังตก)
เพลงพระราชนิพนธ์ของ ร.9
ประพันธ์เนื้อร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
และท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา
ขับร้องโดย จินตนา สุขสถิตย์
แปลโดย รศ.ดร.สุพัฒน์ สุกมลสันต์
Rain winds sweep across the plain.
Thunder rumbles on high.
Lightening flashes; Bows the grain.
Birds in fright nestward fly.
ลมฝนพัดผ่านที่ราบ
ฟ้าร้องคำรามมาจากที่สูงเบื้องบน
สายฟ้าแลบ ทำให้รวงข้าวโค้งงอลง
นกตกใจ บินกลับรัง
But the rain pours down in blessing;
Filled with cheer our hearts expand.
As the woods with notes of pleasure ring,
Sunlight streams o'er the land.
แต่ว่าฝนตกเทลงมาท่ามกลางความยินดี
ทำให้หัวใจของเราเต็มไปด้วยความปรีดา
ขณะที่ป่าไม้เจริญงอกงามดี
ลำแสงดวงแสงอาทิตย์สาดส่องเหนือพื้นดิน
Bright the rainbow comes in view.
All the world's cool and clean.
Angels' tears the flowers renew.
Nature glistens in green.
รุ้งสีสดปรากฏออกมาให้เห็น
ทุกสรรพสิ่งในโลกเย็นลงและสะอาด
หยาดน้ำตาของเหล่านางฟ้าทำให้ดอกไม้มีชีวิตชีวาขึ้น
ธรรมชาติส่องประกายเป็นสีเขียว
Rain beads sparkle in your hair, love.
Rainbows glitter when you smile.
Thus we soon forget the clouds above,
Beauty so does beguile
เม็ดฝนส่งประกายบนเรือนผมคุณ ที่รัก
สายรุ้งทอแสงระยิบระยับเมื่อคุณยิ้ม
ดังนั้น ในไม่ช้าเราก็ลืมมวลเมฆข้างบน
ความสวยก็ชักจูงให้คนหลงใหลได้เช่นเดียวกัน
**************************************************************
Vocabulary Items
- beguile (v) = ชักจูงให้หลงเชื่อ
- bow (v) = โค้งงอลง โค้งต่ำลง
- bright (adj) = สว่าง สีสดใส
- clean (adj) = สะอาด
- angel (n) = นางฟ้า
- cloud (n) = ก้อนเมฆ
- come in view (v) = ปรากฏให้เห็น
- cool (adj) = เย็นลง
- expand (v) = พองโต ขยายใหญ่ขึ้น
- woods (n) = ป่าไม้
- flash (v) = ประกายแวบวับของฟ้าแลบ
- flower (n) = ดอกไม้
- forget (v) = ลืม
- glitter (v) = ส่องแสงระยิบระยับ
- grain (n) = ธัญพืช ต้นข้าว
- in blessing (n) = ท่ามกลางความยินดี
- in fright (n) = อยู่ในอาการตกใจกลัว
- lightening (n) = ฟ้าแลบ
- nestward fly (v) = บินกลับรัง
- o'er = over = บน
- plain (n) = ที่ราบ
- pleasure ring (n) = วงปีของต้นไม้ที่เจริญงอกงามดี
- pour down (v) = เทลงมา ฝนตกหนัก
- rain wind (n) = ลมฝน
- rainbow (n) = รุ้งกินน้ำ
- renew (adj) = มีชีวิตชีวา
- glisten (v) = ส่งประกายจากการกระทบแสงแดด
- rain bead (n) = เม็ดฝน
- rumble (v) = เสียงคำรามของฟ้า
- sparkle (n) = ส่องประกาย มีประกาย
- stream (v) = ลำแสง ลำธาร
- sunlight (n) = แสงแดด
- sweep (v) = กวาด พัดวูบ พัดกวาด
- the land (n) = แผ่นดิน
- thunder (n) = ฟ้าร้อง
**************************************************************
สายฝน
ประพันธ์เนื้อร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว
ต้นไม้พลิ้วลู่กิ่งใบ
เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป
แต่เหล่าไม้ยิ่งกลับงาม
พระพรหมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง
เพื่อประทังชีวิตมิทราม
น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม
ทั่วเขตคามชุ่มธารา
สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวทุ่ง
แดดทอรุ้งอร่ามตา
รุ้งเลื่อมลายพร่างพรายนภา
ยามเมื่อฝนมาแต่ไกล
พระพรหมช่วยอำนวยให้ชื่นฉ่ำ
เพื่อจะนำดับความร้อนใจ
น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟ้าแดนไกล
พืชพรรณไม้ชื่นยืนยง
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๓ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ขณะทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงแต่งร่วมกับท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนนี้ มีลีลานุ่มนวลอ่อนหวาน บรรเลงครั้งแรกในงานรื่นเริงของสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยอีกเพลงหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งถึงความลับของเพลงนี้ว่า
“…เมื่อแต่งเป็นเวลา ๖ เดือน ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ
ได้เขียนจดหมายถึง
บอกว่ามีความปลาบปลื้มอย่างหนึ่ง
เพราะไปเชียงใหม่ เดินไปตามถนนได้ยินเสียงคนผิวปากเพลงสายฝน
ก็เดินตามเสียงไปเข้าไปในตรอกซอยแห่งหนึ่ง
ก็เห็นคนกำลังซักผ้าแล้วก็มีความร่าเริงใจ
ผิวปากเพลงสายฝนและก็ซักผ้าไปด้วย
ก็นับว่าสายฝนนี้มีประสิทธิภาพสูงซักผ้าได้สะอาด…
ที่จริงความลับของเพลงมีอย่างหนึ่ง
คือเขียนไป ๔ ช่วง แล้วก็ช่วงที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔
เสร็จแล้วเอาช่วงที่ ๓ มาแลกช่วงที่ ๒ กลับไป
ทำให้เพลงมีลีลาต่างกันไป…เป็น ๑ ๓ ๒ ๔…”
(ข้อมูลhttp://th.wikipedia.org/wiki/Falling_Rain)